28 กันยายน 2559 : ดร.เชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยถึง แนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปี 2559 คาดว่าจะชะลอตัวกว่าครึ่งปีแรก แต่ยังรักษาระดับการเติบโตของ GDP ได้เกิน 3% โดยเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวทั้งปี 2559 ประมาณ 3.3% ปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากโครงการลงทุนใหม่ อาทิ รถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคลาย – มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) ที่น่าจะเปิดซองได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ ประกวดราคารถไฟฟ้าทาคู่ ประจวบคีรีขันธ์ – ชุมพร และมาบกะเบา –จิระ เป็นต้น และความแข็งแกร่งของภาคการท่องเที่ยว และการส่งออกหดตัวน้อยกว่าที่คาด
นางพิมลวรรณ มหัจฉริยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า GDP ปี 2559 คิดเป็น 3.3% ผลบวกมาจากการบริโภคภาคเอกชนมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่การสร้างรถไฟฟ้า และรายได้เกษตรกรเริ่มดีขึ้น รวมถึงการบริโภคภาครัฐเพิ่มขึ้นจากงบกลางปี และส่งออกติดลบน้อยลง ขณะที่ด้านลบการลงทุนภาคเอกชนยังขับเคลื่อนได้ช้า ประกอบกับเงินเฟ้อปรับลดลง ตามทิศทางของราคาน้ำมัน
“ช่วงไตรมาส 4 มีแนวโน้มชะลอตัวลงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากฐานที่สูงในไตรมาส 4 ปี 2558 ที่ผ่านมา ขณะที่การท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวลง คาดว่าตลอดทั้งปีขยายตัว 10.4% มีนักท่องเที่ยวประมาณ 3.3 ล้านคน ซึ่งกรณีนี้ ทัวร์ศูนย์เหรียญอาจจะหายไป 3 แสนคน แต่ผลกระทบไม่มากนักหรือประมาณ 3,800 ล้านบาท หากเทียบกับจีดีพีสัดส่วนที่กระทบไม่ถึง 0.1% เท่านั้น แต่เมื่อคำนวณตัวเลขโดยรวมส่งผลให้ไตรมาส 4 การท่องเที่ยวอาจจะลดลงเหลือการขยายตัวเพียงเลขหลักเดียว”
สำหรับภาคการส่งออกแม้มีภาพที่ดีขึ้นแต่แนวโน้มยังมีความเสี่ยง ทั้งทางด้านการแข่งขัน โครงสร้างการส่งออกของไทยเอง ซึ่งช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกลดลง 3% เทียบกับเป้าหมายทั้งปีที่คาดว่าจะส่งออกได้ 10% ถือว่ายอดการส่งออกลดลงไปเล็กน้อยเพียง 0.3% อย่างไรก็ดี คาดว่าในปี 2560 การส่งออกน่าจะเป็นบวก 0.8% เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวดีขึ้น สินค้าเกษตร ยางพารา ปิโตรเคมี ก็จะได้รับผลในเชิงบวกในเชิงราคาไปพร้อมกันแต่ในเชิงปริมาณอาจจะยังไม่มากนัก
ขณะที่การแข่งขันในตลาดอาเซียนรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน CLMV การส่งออกจากไทยหดตัวลง ในขณะที่ประเทศมาเลเซียกับมีการเติบโตสูง 7 เดือน (มกราคม – กรกฎาคม 2559) สูงถึง 24.8% โดยเฉพาะกลุ่มเชื้อเพลิง น้ำมัน และอาหาร ดังนั้นมองว่า ไทยน่าจะหันไปมองถึงการส่งออกในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นเพราะความต้องการของตลาดยังมีอยู่อีกมาก
ทั้งนี้ แนวโน้มในระยะต่อไป ภาพการเติบโตของเศรษฐกิจโลก น่าจะยังไม่ต่างจากสภาวะปัจจุบันมากนัก ทำให้การส่งออกยังเติบโตช้า ราคาโภคภัณฑ์มีความเสี่ยงเชิงลบน้อยลง แต่ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในกรอบจำกัด ซึ่งเศรษฐกิจไทยยังต้องพึ่งพาการขับเคลื่อนการเติบโตจากปัจจัยภายในประเทศ ท่ามกลางแนวโน้มการท่องเที่ยวที่อาจชะลอตัว ดังนั้น การกระตุ้นการเติบโตผ่่านกลไกงบประมาณดังเช่นปีก่อน (เช่น โครงการขนาดเล็กที่เบิกจ่ายได้เร็ว) อาจเป็นไปได้อย่างจำกัดมากขึ้น เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐ ปี 2560 เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่รวมงบกลางปีไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก
ฉะนั้น กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากฝั่งรัฐบาล จึงต้องมุ่งเน้นไปที่การเร่งรัดโครงการลงทุนขนาดใหญให้เดินหน้าได้รวดเร็วกว่าที่ผ่านมร รวมทั้งกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน โดยรวมแล้ว คาดว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแรงส่งต่อให้ปี 2560 เติบโตใกล้เคียงกับปีนี้