WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันอาทิตย์ ที่ 22 มิถุนายน 2568 ติดต่อเรา
ตลาดทุนไทยไตรมาสแรก…ฟื้นบางกลุ่ม

4 มิถุนายน 2568 : แนวโน้มตลาดทุนไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง แม้จะมีบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่สามารถฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนจากแรงหนุนของการบริโภคในประเทศและการท่องเที่ยวที่ค่อยๆ ฟื้นตัว แต่โดยรวมยังเผชิญกับแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรง ต้นทุนการดำเนินงาน และราคาพลังงานที่ไม่แน่นอน

ข้อมูลจากนายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า มีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ส่งงบการเงินครบถ้วนจำนวน 812 บริษัท คิดเป็น 97.9% ของทั้งหมด โดยในจำนวนนี้ 605 บริษัทมีกำไรสุทธิ คิดเป็น 74.5% ซึ่งแม้จะเป็นสัดส่วนที่สูง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นในภาพรวมของตลาดได้ในภาวะปัจจุบัน

ผลประกอบการรวมของบจ.ในตลาด SET ชี้ ว่ารายได้รวมลดลง 3.6% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core Profit) ลดลงถึง 11.1% อย่างไรก็ตาม ตัวเลขกำไรสุทธิกลับเพิ่มขึ้น 3.6% เนื่องจากกำไรพิเศษจากการลงทุนและตราสารทางการเงินของบจ.ขนาดใหญ่ ประเด็นนี้สะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวลว่า การเติบโตของกำไรในตลาดทุนไทยอาจไม่ได้มาจาก "การดำเนินธุรกิจจริง" แต่เกิดจาก "รายการพิเศษทางบัญชี" ซึ่งไม่สามารถรับประกันได้ในระยะยาว หากกิจกรรมทางเศรษฐกิจจริงยังชะลอตัว

กลุ่มที่ยังสามารถเติบโตได้ดี ได้แก่ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ค้าปลีก โทรคมนาคม การบิน และบริการเช่าพื้นที่ ซึ่งได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม นายอัสสเดช ย้ำว่าธุรกิจเหล่านี้ยังต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงและแรงกดดันต่ออัตรากำไร ด้านโครงสร้างทางการเงิน บจ. ใน SET มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.51 เท่า เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อย ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยังบริหารจัดการได้ แต่ก็ต้องจับตาหนี้สินในภาวะดอกเบี้ยยังทรงตัวในระดับสูง

ขณะที่บริษัทในตลาด mai เผชิญกับภาวะที่หนักกว่า โดย นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) ระบุว่า แม้มีถึง 216 บริษัทที่รายงานผลประกอบการ (96%) แต่กำไรจากการดำเนินงานลดลงถึง 30.6% และกำไรสุทธิรวมลดลงถึง 59% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักของการลดลงมาจากการส่งมอบโครงการที่ใกล้สิ้นสุด และรายการพิเศษที่ในปีนี้กลายเป็นขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลหรือสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งต่างจากปีก่อนที่เคยเป็นรายการกำไร

อย่างไรก็ตาม ด้านบวกของ mai คือยังมีถึง 53% ของบริษัทที่สามารถเพิ่มยอดขายได้ และ 70% ของบริษัทที่ส่งงบมีผลกำไรสุทธิ สะท้อนถึงศักยภาพของธุรกิจขนาดกลางและเล็กที่สามารถปรับตัวได้เร็วในบางกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ 4 กลุ่มหลักที่ยังมีแนวโน้มเติบโต คือ เกษตรและอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค บริการ และเทคโนโลยี ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและความต้องการบริโภคที่ยืดหยุ่น

ในด้านเสถียรภาพทางการเงิน mai ยังรักษาโครงสร้างเงินทุนได้ดี โดยมี D/E ratio ที่ 0.79 เท่า ไม่เปลี่ยนแปลงจากสิ้นปี 2567 ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของตลาด mai ที่ควรค่าแก่การจับตาในระยะยาว มูลค่าตลาดรวมของ mai อยู่ที่ 237,703 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 548 ล้านบาทต่อวัน บ่งชี้ถึงสภาพคล่องที่ยังต่ำ สะท้อนถึงความระมัดระวังของนักลงทุนในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

ภาพรวมตลาดทุนไทยในไตรมาสนี้จึงมีลักษณะ “ผสม” คือมีทั้งโอกาสในบางกลุ่มและแรงกดดันในกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะพลังงาน ปิโตรเคมี และธุรกิจที่พึ่งพารายได้ไม่ประจำหรือรายการพิเศษ ซึ่งยังไม่สามารถสร้างความยั่งยืนให้กับผลประกอบการได้ ความท้าทายในระยะถัดไปจะอยู่ที่ ความสามารถของบจ. ในการสร้างรายได้หลักที่มั่นคง ควบคุมต้นทุนให้เหมาะสม และบริหารจัดการหนี้ในภาวะดอกเบี้ยที่ยังสูง รวมถึงการตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สรุปแล้ว ตลาดทุนไทยยังไม่พ้นระยะเปราะบาง แม้บางกลุ่มมีแนวโน้มบวก แต่ต้องการปัจจัยสนับสนุนที่ชัดเจนทั้งจากภาครัฐและปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค การติดตามผลประกอบการไตรมาส 2 จะเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญว่าตลาดสามารถเข้าสู่จุดเปลี่ยนในเชิงบวกได้จริงหรือไม่

การเงิน ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP