16 กรกฎาคม 2568 : กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยื่นแบบพิเศษ ( Thai ESGX) ปิดฉากแบบไม่เข้าเป้าหมายตามที่ภาครัฐคาดหวังไว้เมื่อวันที่ 30มิ.ย.2568ที่ผ่านมา โดยภาครัฐสนับสนุนด้านสิทธิลดหย่อนภาษีแบบจุกๆสำหรับผู้ถือหน่อยกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ให้โยกเงินลงทุน LTFมายังกองทุนภาษีนี้ รวมระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่เปิดให้มีการลงทุนในกองทุน Thai ESGX โดยทำได้ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ทาง นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) กล่าวว่า มูลค่าซื้อขายกองทุน Thai ESGX ไม่เป็นไปตามเป้าหมายไว้ โดยเฉพาะเม็ดเงินลงทุนใหม่ที่ไหลเข้าสู่ระบบน้อยกว่าที่คาดหวังไว้มาก โดยมีปัจจัยมาจาก 1.เลยเวลาช่วงการจ่ายเงินโบนััสของแต่ละบริษัทไปแล้ว 2.นักลงทุนไม่มั่นใจกับตลาดหุ้นไทย 3.นักลงทุนไม่อยากนำเงินมาลงทุนนานถึง 5 ปีปฎิทิน ดังนั้น Thai ESGX ในรอบนี้จึงไม่ช่วยกระตุ้นตลาดทุนไทยได้โดยตรงอย่างที่ภาครัฐคาดหวัง

"สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในปีนี้ถือว่า "เกินความคาดหมาย" และ "โหดร้าย" กว่าหลายปีที่ผ่านมา โดยได้รับผลกระทบจากทั้งปัจจัยภายในประเทศและปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของเสถียรภาพทางการเมือง ที่ผ่านมาประวัติศาสตร์การเมืองไทยไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากนัก แต่ปีนี้ตลาดปรับตัวลดลงเกือบ 20% ถือว่าหนักพอสมควร ในด้านต่างประเทศแม้มีความกังวลเรื่องนโยบายภาษีสหรัฐฯ แต่ยังมั่นใจว่า ไทยสามารถรับมือได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อนำมาผนวกกับปัจจัยการเมืองในประเทศ ยิ่งทำให้นักลงทุนคิดหนักมากขึ้น” นางชวินดา กล่าว
ขณะที่ทางบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสริช (ประเทศไทย) จำกัด เปิดข้อมูลภาพรวมการลงทุนในกองทุน Thai ESGX ว่า กองทุน Thai ESGX นับเป็นอีกหนึ่งกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีล่าสุดที่เริ่มจัดตั้งในปี 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการลงทุนที่ยั่งยืนในตลาดหุ้นไทยและช่วยรองรับเงินลงทุนจากกองทุน LTF ที่ครบกำหนดลง โดยนักลงทุนสามารถนำยอดโอนย้ายกองทุน LTF ไปกองทุน Thai ESGX ไปใช้ในการลดหย่อนภาษีได้สูงถึง 5 แสนบาท และอีกส่วนหนึ่งก็เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถนำเงินลงทุนใหม่มาลงทุนเพิ่มเติมได้ โดยแยกวงเงินลดหย่อนภาษีออกมาต่างหากจากวงเงินสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF อีก 3 แสนบาท
โดยระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่เปิดให้มีการลงทุนในกองทุน Thai ESGX ได้สิ้นสุดลงเมื่อสิ้นเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา มีมูลค่าทรัพย์สินรวมประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท จากจำนวนกองทุนทั้งหมด 86 กองทุน (นับแยกชนิดหน่วยลงทุน) ภายใต้การบริหารจัดการของ 19 บลจ. โดย บลจ. ที่มีส่วนแบ่งตลาดในด้านมูลค่าทรัพย์สินสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บลจ.บัวหลวง, บลจ.กสิกรไทย และ บลจ.ไทยพาณิชย์ ตามลำดับ และส่วนแบ่งตลาดของ บลจ. รายใหญ่ 5 รายแรก คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของตลาดโดยรวม
หากพิจารณาสัดส่วนมูลค่าทรัพย์สินระหว่างกองทุน Thai ESGX ประเภทเงินลงทุนใหม่ และประเภทรับโอนมาจากกองทุน LTF จะพบว่า กองทุน Thai ESGX ประเภทรับโอนย้ายจากกองทุน LTF มีสัดส่วนมูลค่าทรัพย์สินประมาณเกือบ 80% ของขนาดกองทุนโดยรวม คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.5 หมื่นล้าน ในขณะที่มีทรัพย์สินในกองทุน Thai ESGX ประเภทเงินลงทุนใหม่ราว 6.9 พันล้านบาท ทั้งนี้ หากพิจารณาเทียบสัดส่วนของกองทุน Thai ESGX ทั้งสองประเภท ภายใต้ บลจ.เดียวกัน พบว่า บลจ.ทิสโก้ มีสัดส่วนเงินลงทุนใหม่ที่สูงที่สุด เมื่อเทียบในกลุ่ม บลจ. 10 อันดับแรก ในขณะที่ บลจ. อเบอร์ดีน มีสัดส่วนจากเงินโอนย้ายกองทุน LTF มากที่สุด
กองทุนผสมได้รับความนิยมมากกว่า โดยกองทุน Thai ESGX ที่ออกมาสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆตาม Morningstar Category คือ กองทุนในกลุ่ม Aggressive Allocation ซึ่งเป็นกองทุนผสมที่มีสัดส่วนหุ้นค่อนข้างสูง และกองทุนกลุ่ม Equity Large-Cap ที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ โดยความนิยมในกองทุนผสมดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากกว่ากองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นล้วน จากขนาดทรัพย์สินโดยรวมกว่า 67% ของตลาด หรือประมาณเกือบ 2.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่ากลุ่มกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกว่า 1 หมื่นล้านบาท
กองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม คือ กองทุน BMDIV-TESGX จาก บลจ.บัวหลวง ซึ่งเป็นกองทุนในกลุ่ม Aggressive Allocation โดยมีขนาดกองทุนประมาณ 3.9 พันล้านบาท ในขณะที่กองทุน KFAEQ-THAIESGX-L ของ บลจ. กรุงศรี นับเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม Equity Large-Cap มีขนาดกองทุนเกือบ 3 พันล้านบาท โดยหากพิจารณาจากกองทุนที่ใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรกของทั้ง 2 กลุ่มกองทุน จะพบว่าเป็นกองทุนของ บลจ. หลัก 3 ราย คือ บลจ.บัวหลวง, บลจ. กสิกรไทย และ บลจ.กรุงศรี
นอกจากนี้ จะเห็นว่า หลาย บลจ. จะมีการออกชนิดหน่วยลงทุนที่แตกต่างกัน 2 ชนิด เพื่อรองรับทั้งการสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เดิม (ส่วนใหญ่มักลงท้าย -L หรือมีคำว่า LTF) และเงินลงทุนใหม่ (ส่วนใหญ่มักมีคำว่า 68 หรือ 25 เป็นต้น) โดยจากรายชื่อกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดข้างต้น จะเห็นว่ากองทุนส่วนใหญ่ที่ได้รับความนิยมมักเป็นกองทุนชนิดรับโอน LTF แทบทั้งสิ้น แต่มีกองทุน K-70ThaiESGX-68 และกองทุน K-HDThaiESGX-68 ของ บลจ.กสิกรไทย ซึ่งเป็นหน่วยลงทุนชนิดรับเงินใหม่ที่ติดโผกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใน 5 อันดับแรกของกองทุนทั้ง 2 ประเภท
เงินยังไหลออกจาก LTF อย่างต่อเนื่อง
แม้ว่ากองทุน Thai ESGX จะมีเป้าหมายในการช่วยชะลอการไถ่ถอนของกองทุน LTF แต่หากพิจารณาเงินลงทุนในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค. 68 ซึ่งเป็นวันที่กองทุน Thai ESGX เริ่มมีการจัดตั้ง จนถึงวันที่ 1 ก.ค. 68 จะพบว่ามีเงินไหลออกจากกองทุน LTF เกือบ 4 หมื่นล้านบาท ในขณะที่มีเงินไหลเข้าในกองทุน Thai ESGX ประมาณ 3.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัดส่วนจากการโอนย้ายกองทุน LTF ประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราวๆ 60% ของเงินไถ่ถอนในกองทุน LTF ทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน
ความท้าทายในการรักษาเม็ดเงินในระบบ โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอนจากทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ของภาครัฐในการดำเนินมาตรการต่างๆ ในอนาต ถึงแม้ว่ากองทุน Thai ESGX จะไม่สามารถชะลอการไหลออกของกองทุน LTF ได้ทั้งหมด แต่กองทุน Thai ESGX ก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการสร้าง “ทางเลือกใหม่ที่ยั่งยืน” ให้กับนักลงทุนไทย และกลายเป็นอีกตัวเลือกที่นักลงทุนจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจ โดยเฉพาะในบริบทที่ตลาดเริ่มให้ความสำคัญกับปัจจัยด้าน ESG มากขึ้น และอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนในระยะยาวให้กับนักลงทุนได้ 












