19 สิงหาคม 2568 : เมื่อสหรัฐฯ ภายใต้ “ภาษีทรัมป์” ปรับอัตราภาษีนำเข้าสินค้ารอบใหม่ โลกการค้าแทบทุกภูมิภาคก็สั่นสะเทือน และแน่นอนว่าประเทศไทยเองก็ไม่อาจยืนอยู่เฉยๆ ได้ ในมุมมองของ ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการวิจัย นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา และ ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก ทีดีอาร์ไอ มองว่า ถึงแม้สถานการณ์จะกดดัน แต่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส เพราะตัวเลขภาษี 19% ที่ไทยได้รับจากสหรัฐฯ ยังจัดว่า “เบากว่า” หลายประเทศ โดยเฉพาะจีน
จีนซึ่งเป็นคู่แข่งรายใหญ่ของไทยในตลาดสหรัฐฯ ต้องเผชิญภาษีระหว่าง 30–55% แทบทุกกลุ่มสินค้า เมื่อมองเช่นนี้ ไทยจึงพอจะมองเห็นช่องทางในการชิงส่วนแบ่งตลาดมาได้บ้าง โดยเฉพาะสินค้าส่งออกไทยที่ติดอันดับท็อป 20 มีถึง 18 รายการที่จีนเป็นคู่แข่งโดยตรง นั่นหมายความว่าการปรับโครงสร้างตลาดครั้งนี้ อาจเปิดช่องให้ไทยขึ้นมาแทนที่บางส่วน

อย่างไรก็ตาม เกมนี้ยังไม่จบง่ายๆ เพราะมี “การ์ดใบที่สอง” รออยู่ นั่นคือเรื่อง Transshipment หรือการอำพรางแหล่งกำเนิดสินค้า หากถูกตีความว่ามีวัตถุดิบจากจีนมากเกินไป ไทยอาจถูกเก็บเพิ่มอีก 40% ปัญหาคือเกณฑ์ดังกล่าวยังไม่ชัดเจน ว่าจะต้องใช้วัตถุดิบท้องถิ่นกี่เปอร์เซ็นต์ สหรัฐฯ จะวัดอย่างไร และไทยสามารถใช้ส่วนประกอบจากจีนได้มากน้อยแค่ไหน จึงกลายเป็นความไม่แน่นอนที่ธุรกิจต้องลุ้นกันต่อ
ขณะที่อาเซียนทั้งภูมิภาคถูกมองว่าเสี่ยงมาก เนื่องจากจีนใช้วิธีส่งสินค้าผ่านประเทศเพื่อนบ้าน หรือขายวัตถุดิบให้โรงงานในภูมิภาคเพื่อผลิตต่อ ทำให้ความเสี่ยงของไทยและเพื่อนบ้านแทบเลี่ยงไม่พ้น แม้จะมีความเสี่ยง แต่ถ้ามองเฉพาะภาษี 19% ที่ไทยได้มา ก็ยังถือว่ามีเสน่ห์พอสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่จะย้ายฐานการผลิตมายังไทย โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังมาแรง
อย่างไรก็ดี หากกฎ Transshipment บังคับใช้เข้มข้น ไทยก็อาจเสียเปรียบประเทศอื่นๆ เช่น มาเลเซีย หรือบางประเทศในลาตินอเมริกา ซึ่งยังมีโอกาสรอดพ้นภาระนี้มากกว่า และสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ สงครามภาษีโลกครั้งนี้จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว การผลิตลดลง การค้าหดตัว ประเทศเล็กที่พึ่งพาการส่งออกสูงอย่างไทยจะได้รับแรงกระแทกหนักที่สุด
ดร.กิริฎา มองว่า การส่งออกไทยปีนี้คงโตได้เพียง 2–3% เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่เคยหวัง ขณะเดียวกันการนำเข้าจะสูงขึ้น เพราะสินค้าต่างประเทศเริ่มหาตลาดใหม่ในอาเซียน และเมื่อการส่งออกโตช้า แนวทางที่ไทยควรมุ่งคือหาตลาดใหม่ และยกระดับคุณภาพสินค้า ไม่ใช่อิงแค่ราคาเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่าง คือ จิวเวลรี่ ที่ผู้บริโภคต่างประเทศซื้อด้วยสายตาและคุณค่า มากกว่าตัวเลขราคา
ขณะเดียวกัน ตลาดใหม่ที่น่าสนใจ คือ สหภาพยุโรป ซึ่งไทยกำลังจะลงนามเขตการค้าเสรี (FTA) รวมถึงตะวันออกกลางที่กำลังซื้อสูง และทวีปแอฟริกาที่กำลังขยายชนชั้นกลางอย่างรวดเร็ว ปัญหา คือ เอกชนไทยยังเข้าไปในแอฟริกาน้อยมาก ส่วนใหญ่ไปแค่แอฟริกาใต้ ทั้งที่ตลาดใหญ่มหาศาลกำลังรออยู่ โดยเฉพาะสินค้าอาหารและเกษตร ซึ่งไทยมีจุดแข็งอย่างชัดเจน
ดังนั้น ภาครัฐควรเข้ามาหนุน ทั้งในด้านเครือข่ายธุรกิจ การเปิดทางเจรจา หรือแม้แต่การสร้างแรงจูงใจให้เอกชนรายใหญ่พาซัพพลายเออร์ไทยไปด้วย มิฉะนั้นเอสเอ็มอี (SME) จะเดินเองไม่ไหว ในอีกด้านหนึ่ง การนำเข้าสินค้าที่ราคาถูกลง ก็มีทั้งคุณและโทษ ตัวอย่างเช่นเหล็กจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ที่เข้ามาช่วยลดต้นทุนก่อสร้าง ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ผลิตเหล็กในไทยเผชิญความกดดัน
ส่วนสินค้าอื่นๆ อย่างสิ่งทอ พลาสติก และปิโตรเคมี ก็เช่นเดียวกัน บางกลุ่มแข่งขันได้ยาก แต่บางกลุ่มอาจต่อยอดใช้วัตถุดิบเหล่านี้มาพัฒนาสินค้าใหม่ที่มีมูลค่าสูงกว่า เช่น โปรตีนทางเลือก หรือเครื่องสำอางที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ แต่การต่อยอดเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย SME ที่มีข้อจำกัดเรื่องทุนและองค์ความรู้จะล้มกลางทางได้ง่าย ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากรัฐ ทั้งด้านการเงิน การฝึกอบรม และการเข้าถึงมาตรการส่งเสริมจาก BOI
เมื่อหันกลับมามองเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ดร.กิริฎาคาดว่า 5 เดือนสุดท้ายของปีจะหนักหน่วงแน่นอน การส่งออกชะลอ การบริโภคโตช้า นักท่องเที่ยวลดลง งบประมาณรัฐก็มีจำกัด ทำให้จีดีพีทั้งปีอาจโตไม่ถึง 2% อย่างไรก็ดี ความหวังยังมีอยู่กับการลงทุนใหม่ที่กำลังจะทยอยเข้ามาตั้งแต่ต้นปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซ็นเตอร์ หรือไบโอเทคโนโลยี อุตสาหกรรมเหล่านี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอีก 20–30 ปีข้างหน้า หากภาครัฐและเอกชนร่วมกันคว้าโอกาสไว้ได้ 












