WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันศุกร์ ที่ 5 ธันวาคม 2568 ติดต่อเรา
เศรษฐกิจไทยยังมีทางออก?

29 สิงหาคม 2568 : ในการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิง นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดได้กล่าวถึง สุนทรพจน์ โดยส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป โดยระบุว่าความเสี่ยงต่อภาวะตลาดแรงงานกำลังเพิ่มขึ้น แม้อัตราเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยคุกคาม ทั้งนี้ ยังย้ำว่าการตัดสินใจดังกล่าวยังไม่ถือเป็นที่สิ้นสุด

แม้ถ้อยแถลงของพาวเวลล์ครั้งนี้จะไม่ชัดเจนเท่าการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเมื่อการประชุม Jackson Hole ปีก่อน แต่ก็เพียงพอให้นักลงทุนเร่งคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย.2568 นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์จำนวนมากได้ปรับการคาดการณ์ใหม่ คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยรวม 0.5% ภายในสิ้นปี จากระดับปัจจุบันที่ 4.25%-4.50% ซึ่งนักวิเคราะห์ทั่วโลกต่างมีมุมมองเดียวกันว่า ประชุมเฟดเดือนหน้าดอกเบี้ยขาลงชัดเจน

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยไทยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2568 ที่ผ่านมา มีมติเอกฉันท์ ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น1.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันที ชี้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 ขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแนวมุมมองมหภาค ผศ.ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ เจ้าของเพจ MacroView. ผู้ผลิตงานวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจมหภาค รวมถึงการประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ทั่วโลก และเทรนนิ่งหลักสูตรวิชาชีพด้านตลาดทุนและสถาบันการเงิน เปิดมุมมองดอกเบี้ยไทยที่ดูเหมือนต่ำสุดในอาเซียน แต่ทำไม..เศรษฐกิจยังไม่ไปไหน? ผ่านบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน หรือ บลน. ฟินโนมีนา ว่า เมื่อพิจารณาอัตราการเติบโตเศรษฐกิจของไทยเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านในอาเซียน จะพบว่าเรามีอัตราที่ต่ำที่สุดในอาเซียน ทางกลับกันทางด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย จะพบว่าเราอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในอาเซียนเช่นเดียวกัน

คำถามคือหากคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปจนถึงระดับ 0.25% แล้ว ยังไม่สามารถผลักดันให้อัตราการเติบโตจีดีพีไทยให้สูงเกินระดับ 3-3.25% อย่างยั่งยืน ภายใต้ข้อจำกัดของภาระการคลังของรัฐบาลที่อัตราส่วนหนี้ภาครัฐต่อจีดีพีใกล้แตะระดับสูงสุดตามกฎหมายเข้าไปทุกขณะ ที่สำคัญ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบ้านเรา ถือว่าซบเซามาก โดยหนึ่งในปัจจัยหลักที่เป็นต้นเหตุ น่าจะมาจากกำลังการผ่อนเงินงวดสินเชื่อบ้านของประชาชนโดยส่วนใหญ่ดูแย่ลงอย่างชัดเจน จากเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลงอย่างยาวนานและซึมลงเรื่อยๆ ทำให้แบงก์ไม่ค่อยยอมอนุมัติการปล่อยกู้สินเชื่อบ้านรายใหม่ๆ เป็นเวลากว่า 4-5 ปีที่ผ่านมา

อันนี้ ยังไม่ได้คำนึงถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ดูจะซบเซาลงจากนโยบายที่มุ่งหวังผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลักของสหรัฐ ผมมองว่ามี 3 เหตุผล ที่ธนาคารกลางบ้านเรา น่าจะมีโอกาสทำการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสู่ระดับใกล้ศูนย์ หรือ Zero Lower Bound (ZLB) พร้อมกับใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ Quantitative Easing (QE) ซึ่งหมายถึงธนาคารกลางจะใช้เงินซื้อพันธบัตรจากธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้แบงก์พาณิชย์นำเงินดังกล่าวไปปล่อยกู้ให้ประชาชนทั่วไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนี้

1. ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ได้เคยนิยามคำว่า Secular Stagnation หรือ สภาวะความเสื่อมถอยเรื้อรัง โดยหากในขณะนั้น เศรษฐกิจมีระดับหนี้ต่อจีดีพีค่อนข้างสูง การเจริญเติบโตของประชากรเริ่มลดลง รวมถึงมีความเหลื่อมล้ำของรายได้ระหว่างคนในประเทศค่อนข้างมาก ส่งผลให้อุปสงค์ของผู้บริโภคลดลง ทว่าไปกระตุ้นการออมของคนในประเทศมากกว่า ในทางกลับกันการชะลอตัวลงของผลิตภาพในการผลิตและของผลผลิตได้ไปทำให้การลงทุนชะลอตัวลง ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยที่เป็นอัตราตามธรรมชาติ หรือ อัตราผลตอบแทนที่ความต้องการในการลงทุนเท่ากับอุปทานของการออม จึงมีระดับที่ลดลง และ มีโอกาสที่จะเป็นค่าติดลบด้วย

อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไม่สามารถมีค่าติดลบได้ ยกเว้นอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงมากๆ เท่านั้น อย่างไรก็ดี เนื่องจากภาวะสินเชื่อของบ้านเราที่ส่อว่าจะไม่สามารถดึงให้หนี้ NPL โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคประชาชนออกจากระบบได้ ทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในตอนนี้ จำเป็นต้องเน้นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบเพื่อช่วยสถานการณ์เศรษฐศาสตร์ที่ซบเซาทั่วกันในตอนนี้

2. แม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยในปัจจุบันจะลดลงมาอยู่ที่ 1.5% แล้ว ทว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิง MRR ของแบงก์พาณิชย์ ยังอยู่ที่ราว 6.5-7% ทำให้ผู้กู้สินเชื่อบ้านยังต้องจ่ายเงินกู้บ้านให้กับแบงก์ด้วยอัตราที่ต้องถือว่าไม่ใช่อัตราที่ต่ำเท่าไรนักเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ ซึ่งหากถ้าจะให้ผู้กู้สามารถผ่อนชำระด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่านี้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากที่แบงก์ชาติจะต้องลดดอกเบี้ยนโยบายไปถึงระดับ 0-0.25% อาจจะยังจำเป็นต้องลดให้ดอกเบี้ยไปจนถึงติดลบ อันนำมาซึ่งปฏิบัติการ QE ในเหตุผลข้อต่อไป

3.โดยหลังจากทำนโยบายดอกเบี้ย ZLB ไปเรียบร้อยแล้ว หากเศรษฐกิจไทยยังคงซึมๆอยู่ไม่คึกคัก ก็อาจจะถึงคิวของการทำ QE โดยขอยกตัวอย่างสหรัฐในปี 2008-2012 ที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดทำ QE โดยเฟดเอาเงินมาซื้อพันธบัตรสหรัฐอายุ 3-7 ปี และมาซื้อตราสารทางการเงินที่ใช้สินเชื่อบ้านค้ำประกันหรือ Mortgage-Backed Securities (MBS) ที่ออกโดยหน่วยงานของทางการสหรัฐด้วยปริมาณหนึ่งๆในแต่ละเดือน เป็นระยะเวลาหนึ่งๆ

หากเฟดตรวจสอบตัวเลขทางเศรษฐกิจแล้วพบว่าตลาดแรงงานสหรัฐไม่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ก็จะทำการซื้อตราสารดังกล่าวต่อไป การพิจารณาขนาด ความถี่ และองค์ประกอบของสินทรัพย์ ที่จะซื้อเพิ่มเติม จะพิจารณาถึงทั้งตลาดแรงงาน กิจกรรมทางเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อพร้อมกันไป นอกจากนี้ เฟดยังให้คำมั่นกับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจว่านโยบายการเงินแบบผ่อนคลายนี้จะยังคงมีอยู่ต่อไป แม้ว่าเศรษฐกิจอาจจะเริ่มกระเตื้องแล้วก็ตาม

ท้ายสุด เฟดยังยึดการคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำออกไปจนถึงปี 2015มองว่าแบงก์ชาติของไทยน่าจะสามารถประยุกต์แนวทางดังกล่าวนี้ไปใช้กับเศรษฐกิจไทยในอนาคตอันใกล้ ไทยถือว่าไม่ได้เป็นชาติแรกของอาเซียนที่ทำ QE โดยธนาคารกลางอินโดนีเซียเคยทำ QE มาแล้วในช่วงโควิดเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่มากในช่วงเวลานั้น

เศรษฐกิจ ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP