9 มีนาคม 2560 : นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้ าที่บริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL กล่าวแสดงความมั่นใจว่า ศักยภาพการเติบโตและการสร้างผลกำไรของ GL ยังคงมีมากขึ้น แม้ว่าหุ้น GLจะถูกเทขายอย่างหนักในรอบหลายวันที่ผ่านมาก็ตาม
สืบเนื่องมาจากข้อมูลที่ไม่ชัดเจนในข้อสังเกตประกอบงบการเงินปี 59 ของผู้สอบบัญชี ประกอบกับข่าวลือในเชิงลบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับจำนวน 3,477 ล้านบาท ซึ่งบริษัทย่อยในสิงคโปร์คือ GL Holdings (GLH) ได้ให้บริษัทอื่นอีก 2 กลุ่มในไซปรัสและสิงคโปร์กู้ยืมต่อ ซึ่งผู้กู้เป็นผู้ถือหุ้นใน GL ด้วย ได้นำหุ้น GL มาเป็นส่วนหนึ่งของหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ยืมดังกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้ชี้แจงผ่านระบบ SKYPE จากประเทศอินโดนีเซียว่าผู้กู้ทั้ง 2 กลุ่มในไซปรัสและอินโดนีเซียนั้น อันที่จริงคือดีลเลอร์รถมอเตอร์ ไซค์ เครื่องจักรกลเกษตรและสินค้าอื่นๆ ในประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นคู่ค้าของ GL มาเป็นเวลาหลายปีและมีความน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก ดีลเลอร์เหล่านี้มีจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 100 ราย ซึ่งบางรายเป็นคู่ค้าของบริษัทมายาวนาน 4-5 ปี ถือว่าเป็นกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ในกัมพูชาที่มีศักยภาพในการทำธุรกิจและมี Record การชำระคืนเงินกู้ที่ตรงต่อเวลาตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบันยังไม่มี Default (ผิดนัดชำระหนี้) และไม่มี NPL
นายมิทซึจิ กล่าวว่า ส่วนสาเหตุที่ต้องไปทำบันทึกรายงานเงินกู้เหล่านี้นอกประเทศกัมพูชา สืบเนื่องจากบริษัทฯเหล่านี้ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษีของรัฐบาลกัมพูชา โดยเงินกู้สำหรับดีลเลอร์กลุ่มนี้มีมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 55% ของยอดเงินกู้ทั้งหมด ในขณะที่เงินกู้ส่วนที่เหลืออีก 45% นั้น บริษัทย่อยของ GL ในกัมพูชาสามารถปล่อยกู้ โดยตรงให้กับดีลเลอร์อีกกลุ่มหนึ่งที่ได้ขึ้นทะเบียนในระบบภาษีของรัฐบาลแล้ว
อย่างไรก็ตาม สืบเนื่องจากที่รัฐบาลกัมพูชามี มาตรการเข้มงวดในรอบปีที่ผ่านมา เพื่อบังคับให้บริษัทห้างร้านเอกชนเข้าจดทะเบียนสู่ระบบภาษีทางการ เพื่อที่รัฐบาลจะเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงคาดว่ามูลค่าการปล่อยกู้นอกประเทศกัมพูชานั้นคงจะค่อยๆลดลงคาดว่าดีลเลอร์ที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนภาษีจะทยอยเข้าสู่ระบบ ซึ่งจะทำให้ GL สามารถปล่อยกู้โดยตรงในกัมพูชาได้ ส่วนเหตุผลที่ไปทำบันทึกเงินกู้ ในประเทศไซปรัสและสิงคโปร์นั้น สืบเนื่องจากโครงสร้างทางกฎหมายและโครงสร้างภาษีเอื้ออำนวยต่อการทำธุรกรรมดังกล่าว
ขณะที่ข้อสงสัยอีกประการหนึ่ง ที่นักลงทุน VI (Value Investor) ได้หยิบยกขึ้นวิพากษ์วิจารณ์คือ อัตราดอกเบี้ยที่สูงถึง 16-17% นั้น ขอชี้แจงว่าดอกเบี้ยที่แท้จริงเป็นเพียง 6% เท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นค่าธรรมเนียมและค่าบริการอื่นๆ ซึ่งรวมแล้วอยู่ที่ประมาณ 15-16% สำหรับประเด็นข้อสงสัยอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกับมูลค่าของสินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันเงินกู้นั้น ขอชี้แจงว่า หลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันเงินกู้นั้น ประกอบด้วยหุ้นของบริษัท GL และบริษัทอื่น อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไซปรัสและบราซิล พันธบัตรรัฐบาลของไซปรัส
โดยไม่รวมถึง Inventory (รถจักรยานยนต์ที่อยู่ในสต๊อกของดีลเลอร์) ซึ่งหากคำนวณมูลค่าทั้งสิ้นแล้วจะมีมูลค่าสูงกว่ายอดเงินกู้ โดยสามารถแยกแยะรายละเอียดคือในส่วนของอสังหาริมทรัพย์นั้นตีมูลค่าเพียง 50% ของราคาตลาด ซึ่งมูลค่า 50% ดังกล่าวเทียบเท่ากับ 68% ของยอดเงินกู้ และหากรวมมูลค่าของหุ้น พันธบัตรรัฐบาล ตลอดจนสต๊อกมอเตอร์ไซค์ของดีลเลอร์แล้ว จะมีมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 200% ของยอดเงินกู้
นายมิทซึจิ กล่าวว่า ต่อคำถามที่ว่า GL มีความจำเป็นจะต้องตั้งสำรองเพิ่มเติม เนื่องจากราคาหุ้นของ GL ด้อยค่าลงอย่างมาก ทั้งนี้ ยืนยันว่า ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งสำรองเนื่องจากมูลค่าของหลักทรัพย์ค้ำประกันโดยรวมนั้นมี เพียงพอและหากมีความจำเป็นในอนาคต GL ก็สามารถเรียกขอหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่มเติมจากผู้กู้ได้
ส่วนข้อความเรื่องการยืดระยะเวลาคืนเงินกู้นั้น ชี้แจงว่า โดยปกติ GL จะเริ่มปล่อยกู้ให้ลูกค้าดีลเลอร์เหล่านี้ โดยมีระยะเวลาชำระคืนเพียง 3 เดือน เมื่อครบกำหนด 3 เดือน ก็จะโรลโอเวอร์ต่อไปอีก 3 เดือน แต่หลังจากที่ลูกค้าดีลเลอร์ เหล่านี้มี Record การชำระคืนตรงต่อเวลา GL ก็ขยายระยะเวลาชำระคืนเป็น 1 ปี ครบกำหนดแล้วก็โรลโอเวอร์ต่อ และหลังจากที่ลูกค้าสามารถยืนยันตรงต่อเวลาในการชำระคืน GL ก็อนุมัติขยายช่วงโรลโอเวอร์เป็น 3 ปี
อย่างไรก็ดี ลูกค้าดีลเลอร์เหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่ามีความซื่อตรงไม่ เคยผิดนัดชำระหนี้ ส่วนการที่ลูกค้าเหล่านี้มาซื้ อหุ้น GL นั้นถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา เนื่องจาก GL เป็นผู้ค้าที่มีความสัมพันธ์ที่ดีและลูกค้าเหล่านี้ก็เห็นศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ จึงซื้อหุ้นของ GL ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยที่บริษัทไม่ทราบ
นายมิทซึจิ กล่าวแสดงความมั่นใจว่า ปัจจัยพื้นฐานทั้งหมดของ GL ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยบริษัทยังเดินหน้ารุกขยายธุรกิจอย่างเต็มที่โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนและคาดว่าผลประกอบการจะขยายตัวอย่างก้าวกระโดดตามที่ได้วางเป้าไว้เดิม