WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันศุกร์ ที่ 5 ธันวาคม 2568 ติดต่อเรา
“เฟด”รอบนี้ไม่มาเล่นๆ!!!

12 มีนาคม 2560 : ช่วงที่ผ่านมาค่าเงินบาทดูจะผันผวนไม่เบา และความผันผวนที่เกิดขึ้นมาหลากหลายสาเหตุทั่งจากปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนรวมถึงผู้ประกอบการหันมาตั้งรับความเสี่ยงได้คล่องตัวมากขึ้น ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญตลาดเงินและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย ออกมาระบุว่า ค่าเงินบาทได้แตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 6 สัปดาห์ที่ 35.42 บาทต่อดอลลาร์ฯ ท่ามกลางการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมวันที่ 14-15 มี.ค. นี้ หลังจากตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ในเดือนก.พ. เพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาด

นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับสถานะขายสุทธิพันธบัตรและหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ (จำนวน 1.59 หมื่นล้านบาท และ 7.08 พันล้านบาทตามลำดับ) รวมถึงทิศทางการอ่อนค่าของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคด้วยเช่นกัน สำหรับในวันศุกร์ (10 มี.ค.) ที่ผ่านมา เงินบาทอยู่ที่ 35.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับ 35.06 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (3 มี.ค.)

ผู้เชี่ยวชาญฯ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับสัปดาห์นี้ (13-17 มี.ค.) ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 35.25-35.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยอาจต้องจับตาผลการประชุมเฟด (14-15 มี.ค.) dot plot และตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจชุดใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจสะท้อนถึงสัญญาณเกี่ยวกับจังหวะการปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะถัดไป

999

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ผลสำรวจดัชนีกิจกรรมการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ช่วงต้น) เดือนมี.ค. ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต การผลิตภาคอุตสาหกรรม การเริ่มสร้างบ้านและการขออนุญาตก่อสร้างเดือนก.พ. ข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิเดือนม.ค. นอกจากนี้ จุดสนใจของตลาดอาจรวมไปถึงผลการเลือกตั้งของเนเธอร์แลนด์ ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางญี่ปุ่น

ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดเงินอย่าง ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาให้ความเห็นนี้เช่นเดียวกันว่า กรณีที่ นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ประธานเฟดส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ โดยตลาดการเงินเชื่อว่าเฟดพร้อมขึ้นดอกเบี้ยในรอบการประชุมวันที่ 14-15 มีนาคมนี้ สู่ระดับ 0.75-1.00% แต่เชื่อว่าจะยังไม่เห็นเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้

amornthep-700

แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานและภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐปรับตัวดีขึ้นจริง แต่ตัวเลขการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในไตรมาสที่ 4 ที่ต่ำมากหรืออยู่ที่ระดับ 1.9% เท่านั้น หากเฟดจะรอตัวเลขการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นในไตรมาสที่ 1 ที่จะประกาศในเดือนเมษายน ก็น่าจะทำให้ภาพรวมดูมีความชัดเจนดีกว่ารอบนี้ อีกทั้งรอมาตรการของนายโดนัลด์ ทรัมป์ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงไร

โดยสรุปแล้วผมมองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในรอบการประชุมเดือนมิถุนายนมากกว่า แต่หากเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ ก็คงเพื่อสะกัดภาวะฟองสบู่ในสหรัฐที่เริ่มพองตัวขึ้น ดังเห็นได้จากดัชนีดาวโจนส์ที่พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และอาจแตกลงทำให้เกิดปัญหาภายหน้าได้ จึงต้องรีบลดความร้อนแรงของตลาดทุนลง

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้หรือรอบเดือนมิถุยายน ล้วนแต่ส่งผลให้เงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทยได้อยู่พอสมควร อัตราผลตอบแทนพันธบัตรคาดว่าจะขยับขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการระดมทุนของเอกชนสูงขึ้นจากสภาพคล่องที่จะเริ่มตึงตัวขึ้น เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐ แต่ผู้ส่งออกอาจไม่ได้ประโยชน์มากนัก เพราะบาทมีทีท่าจะแข็งค่าเทียบสกุลเงินเพื่อนบาท จากเงินสำรองที่สูงและดุลบันชีเดินสะพัดที่เกินดุล ทำให้ประเทศไทยมีความน่าสนใจอยู่ในการเป็นที่พักเงินของนักลงทุนต่างชาติ หรือเป็น Safe Haven

อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรระวังเงินบาทอาจพลิกกลับมาแข็งค่าได้ชั่วคราว หากเฟดชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หรือส่งสัญญาณการขึ้นต่อเนื่องไม่ชัด ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลกลับมาไทยได้ชั่วคราว

นอกจากนี้ สิ่งที่น่าสนใจคืออัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยว่าจะพร้อมที่จะขยับขึ้นหรือยัง หรือเราจะให้ความสำคัญกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ หรืออยู่ที่ราว 3% และเมื่อพิจารณาจากปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้วยังไม่ว่าในระยะอันใกล้จะมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้เหนือ 4% และหากรอไปถึงวันนั้นก่อนจะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย ประเทศไทยอาจจะเป็นประเทศสุดท้ายที่จะขึ้นดอกเบี้ยตามสหรัฐก็เป็นได้

ขณะเดียวกัน การส่งสัญญาณดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานานเกินควร แม้จะดูว่าช่วยสนับสนุนให้ต้นทุนการเงินต่ำ ให้คนลงทุนและบริโภค แต่ดอกเบี้ยไม่ใช่ยารักษาทุกโรค ดังเห็นได้จากสามปีที่ผ่านมา การลงทุนภาคเอกชนหดตัว การบริโภคอยู่ในระดับต่ำ ทั้งๆที่ต้นทุนทางการเงินต่ำ ซ้ำร้ายคือ ยาตัวนี้ก็มีผลข้างเคียง ผู้ออมเงินถูกบีบให้ไปแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง หวังเพื่อชนะเงินเฟ้อที่แสนต่ำ โดยอาจไม่พิจารณาความเสี่ยงในการลงทุนอย่างรอบคอบ และอาจนำไปสู่ปัญหาในระบบการเงินได้ logo เล็ก (ปิดท้ายข่าว)

การเงิน ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP