9 พ.ค. 60 : นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล. ทิสโก้ ฉายภาพรวมตลาดหุ้นไทยในงานสัมมนา TISCO Monthly Guru Updates ว่า ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา SET Index ยังปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นโลก (Laggard) โดยปรับตัวขึ้นมาประมาณ 2.3% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (Asia-emerging Market) ปรับขึ้นไปแล้วถึงประมาณ 6% และตลาดหุ้นหลายแห่งทั่วโลกก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ All Time High จึงมีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยแนะนำให้จับตาสัญญาณทางเทคนิค หาก SET Index ผ่านแนวต้าน 1,575 จุดไปได้ ก็มีโอกาสที่ SET Index จะปรับตัวขึ้นไปถึง 1,600 จุด

ตลาดหุ้นโลกหลายแห่งสามารถขึ้นไปทำ All Time High ได้ เช่นดัชนี NASDAQ ของสหรัฐฯ ดัชนี DAX ของเยอรมนี ในฝั่งเอเชียก็มีตลาดหุ้นอินเดียและอินโดนีเซีย ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปกลับมา Outperform หลังการเลือกตั้งฝรั่งเศสผ่านพ้นไปแล้ว เหลือแต่ตลาดหุ้นไทยที่ยัง Laggard อยู่จากปัจจัยลบต่างๆ อย่าง NPL กลุ่มธนาคารที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกจากการขยายตัวของ GDP ที่จะเป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น
อย่างไรก็ดี หากมองย้อนกลับไป ตลาดหุ้นโลกได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง 6 เดือนติดต่อกัน นับตั้งแต่ พ.ย. ปีที่แล้ว ขณะที่อัตราผลกำไรเติบโตขึ้นช้ากว่า ทำให้ค่า Forward PERตลาดหุ้นโลกอยู่ในภาวะแพงที่สุดในรอบ 5-8 ปี จึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้นโลกจะมีแรงขายทำกำไร หากตลาดสะท้อนภาพข่าวดีไปหมดแล้ว อีกทั้งยังความกังวลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการลดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) โดยคาดว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุม FOMC วันที่ 14 มิ.ย. และ วันที่ 20 ก.ย. ทำให้ปลายปีนี้ Fed Fund Rate ขึ้นไปอยู่ที่ 1.25-1.50% ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในเดือน มิ.ย.จะทรงตัวหรือไม่ก็ปรับตัวลง
ดังนั้น จึงแนะนำให้นักลงทุน “ซื้อเล่นสั้น” หาก SET Index มีสัญญาณทะลุเกิน 1,575 จุด และขายทำกำไรที่ 1,600 จุด แล้วรอซื้อสะสมเพื่อลงทุนระยะยาวในช่วงครึ่งหลังเดือน มิ.ย. ที่แนวรับ 1,550 และ 1,520 จุด โดยแนะนำหุ้นที่งบไตรมาส 1 ออกมาดีแต่ราคายังขึ้นน้อย ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานอาจจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ซึ่งคาดว่าราคาน้ำมันดิบ WTI ในไตรมาส 2 นี้จะลดลง 7-10% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 แนะนำ Short Futures












