WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันศุกร์ ที่ 5 ธันวาคม 2568 ติดต่อเรา
อ้าวเฮ้ย! ไม่เหมือนที่คุยกันไว้!! รัฐบาลถังแตก? เก็บภาษีกองทุนบอนด์

22 พฤษภาคม 2560 : “ความวัวไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก” หากมาใช้กับสถานการณ์อุตสาหกรรมกองทุนรวมในปีนี้ก็คงไม่ผิดแปลก หากนับดูสถานการณ์ร้อนๆ ที่ทำให้ธุรกิจกองทุนวุ่นวายนับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ก็ไม่ใช่น้อยเลย หากยังจำกันได้ดีช่วงปลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจกองทุนรวมของไทยพาเหรดกันซดน้ำใบบัวบกแก้ช้ำอกช้ำใจกันยกใหญ่ หลังจากผู้ออกตั๋วเงินระยะสั้น หรือตั๋วบีอี ต่างเบี้ยวหนี้ไม่จ่ายเงินคืนตามระยะเวลาที่กำหนด ด้วยนานานับเหตุผลที่มากล่าวอ้าง และมีบางรายที่ยังสร้างความปั่นป่วนไม่ยอมคืนหนี้ให้กับกองทุนที่เข้าไปลงทุนจนถึง ณ บัดนี้

พอผ่านเลยมาอีกนิด อยู่ ๆ เจ้าสั๋ว”เจริญ” เจ้าพ่อธุรกิจน้ำเมาอย่างเบียร์ช้าง ก็อยากได้ทรัพย์ที่ไปจัดตั้งกองอสังหาริมทรัพย์คืน เพื่อที่จะนำไปพัฒนาหากำไรเอง งานนี้ผู้จัดการกองทุนที่ดูแลกองทุนให้กับกลุ่ม”เจริญ” ถึงกับนอนก่ายหน้าผาก เพราะกองทุนที่ดูแลจัดการทั้งสามกองทุนของกลุ่ม”เจริญ” มีมูลค่ารวมกันเกือบ 100,000 ล้านบาท เท่ากับว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารหายไปในพริบตาเกือบแสนล้านบาท งานนี้ใครไม่โดนกับตัวจะไม่รู้หรอกว่าเจ็บแค่ไหน ความวัวไม่ทันหายความอยากได้เงินของภาครัฐก็เข้ามาแทรกอีกระลอก เข้ามาแทรกแบบว่า “อะไรหว่า” เพราะอยู่ดีๆ กระทรวงการคลังก็ประกาศกร้าว!! ว่า “มีแผนที่เก็บภาษีกองทุนตราสารหนี้ทุกประเภท ซึ่งจะรวมถึงกองทุนผสมที่มีตราสารหนี้ผสมอยู่ด้วย โดยจะใช้แผนนี้ในเดือนตุลาคม2560นี้”

ว้ายยยตั๊ยยยยแล้ว! พอได้ยินข่าวนี้แทบอยากจะเป็นลมขึ้นมาทันที ไม่รู้ใครหน่อถึงช่างไปดลใจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คิดแผนแบบนี้ออกมาได้ เพราะแผนการดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นการนำพาตลาดทุนถอยหลังเข้าคลองมากกว่าจะพัฒนาระบบการลงทุนให้เติบโตขึ้นอย่างที่ตั้งใจกันเอาไว้ เพราะอะไรนะเหรอ? ต้องย้อนกับไปหลายสิบปี รัฐบาลมองว่าตลาดทุนไทยยังไม่แจ่มเท่าไหร่ คิดแผนกระตุ้นมาโดยตลอด จนออกนโยบายการลดภาษีผ่านกองทุน LTF และ RMF จนทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง

กองทุนตราสารหนี้ก็เช่นกันที่ได้รับความสนใจไม่น้อย ด้วยจุดเด่นของกองทุนตราสารหนี้ คือ ผู้ลงทุนไม่ต้องเสียภาษีจากผลตอบแทนที่ได้ และตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่ชอบความเสี่ยงน้อย เพราะในช่วงที่อัตตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำ กองทุนตราสารหนี้ถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก เนื่องจากไม่ต้องเสียภาษี

และแผนการการเก็บภาษีของภาครัฐนี้ หากมองในมุมดีก็ดี เพราะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับภาครัฐ เพื่อนำไปใช้ลงทุนด้านต่างๆ ของประเทศ แต่ข้อเสียก็มีเพราะว่ากลายเป็นการลดช่องทางการลงทุน ให้กับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย นักลงทุนก็หันไปฝากเงินผ่านธนาคารเหมือนเดิม เพราะถ้าเก็บภาษีผลตอบแทนก็ลดลงไม่ต่างอะไรกับฝากแบงก์ที่ดอกเบี้ยต่ำต้อย แล้วอุตสาหกรรมกองทุนก็จะเติบโตน้อยลง สวนความต้องการของภาครัฐในอดีตที่อยากให้ตลาดทุนเติบโต

และความหวังหนึ่งจากนักลงทุน คือ บลจ.ที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่รวมตัวกันช่วยคัดค้านแผนการดังกล่าว เพื่อช่วยให้นักลงทุนรายย่อยเบี้ยน้อยหอยน้อยสามารถเข้าถึงตลาดทุนได้มากขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ บลจ.ต่างออกมาแจ้งผ่านสื่อว่า “แผนดังกล่าวนอกจากจะกระทบภาคการลงทุนของไทยให้เติบโตน้อยลงแล้ว นักลงทุนก็ได้รับผลกระทบด้วย เพราะทางเลือกในการลงทุนหรือการอ้อมเงินมีน้อยลง และหากกระทรวงการคลังประกาศใช้แผนการดังกล่าวอย่างเป็นทางการ เชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนของอุตสาหกรรมกองทุนจะไหลออกจากตลาดทุนหลายแสนล้านบาท หรือหนักสุดเม็ดเงินลงทุนจะไหลออกถึงล้านล้านบาทเลย” แหล่งข่าวจาก บลจ.ได้กล่าวไว้

และยังบอกอีกว่า “ทางสมาคมบริษัทจัดการลงทุนไม่เห็นด้วย เนื่องจากในทางปฏิบัติทำได้ยากและไม่น่าจะทำได้ทันในเดือนตุลาคมนี้ ตามที่คลังต้องการ หากคลังจะเก็บภาษีให้เก็บเฉพาะเทอมฟันด์ และให้คลังเก็บภาษีตอนต้นทางจากดอกเบี้ยหุ้นกู้ ที่ผู้ลงทุนจะได้รับดีกว่ามาเก็บภาษีปลายทางที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากกองทุน ” แหล่งข่าวจากบลจ. กล่าว

แต่ไหนมาไงไม่รู้? เกิดการกลับลำแบบของทางสมาคมบลจ.และก.ล.ต.ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดทุนโดยตรง เฮ้อ!!! ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรนักลงทุนรายย่อยๆเลยสักกะนิด ในการเป็นตัวแทนในการคัดค้านกับแผยการดังกล่าว เพราะทางก.ล.ต.ได้ออกเอกสารและระบุชัดเจนว่า “ก.ล.ต. เห็นว่าการจัดเก็บภาษีกองทุนตราสารหนี้จะทำให้เกิดความเป็นธรรม และสนับสนุนให้ธุรกิจกองทุนรวมเติบโตในระยะยาว”

คุณวรวรรณ บลจ.บัวหลวง

พร้อมระบุอีกว่า ในเรื่องนี้ ก.ล.ต. เห็นว่าแนวคิดดังกล่าวจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และทำให้เกิดความเป็นธรรมในระบบการจัดเก็บภาษีมากยิ่งขึ้น และจะทำให้ธุรกิจจัดการลงทุนเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยมิใช่เพียงการเติบโตโดยอาศัยประโยชน์ทางภาษีเป็นหลัก จึงน่าจะเป็นเรื่องที่ผู้ลงทุนในตลาดทุนน่าจะเข้าใจและยอมรับได้ ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของกองทุนรวมในตราสารประเภทหุ้นแต่อย่างใด

ขณะที่ด้าน นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.)ออกมาระบุชัดว่า กระทรวงการคลัง ต้องการให้กองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้เสียภาษีเหมือนที่ฝากธนาคาร ทางอุตสาหกรรมกองทุนรวมของเราจึงทำการวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย มีการเปรียบเทียบกับต่างประเทศ และแสดงผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้ ฯลฯ ส่งให้คลังไปพิจารณาอย่างครบถ้วน แต่เมื่อทางคลังพิจารณาแล้วยืนยันว่าต้องการให้เสียภาษีเหมือนภาคส่วนอื่น เราก็ยอมรับ และกำลังหารือกับสรรพากร กับ สศค เพื่อหาข้อสรุปถึงวิธีการที่ดีที่สุด ซึ่งสรรพากรเขาก็พยายามหาหนทางที่ดีที่สุดให้เราอยู่ โดยที่สมาคมบริษัทจัดการลงทุนไม่ได้ออกมาคัดค้านรุนแรงอย่างที่เป็นข่าว ทีนี้จะเริ่มมีผลเมื่อไหร่นั้น ยังกำหนดไม่ได้

“จุดยืนของอุตสาหกรรมกองทุนก็คือ เมื่อรัฐบาลไม่ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมเราเป็นพิเศษในเรื่องไม่เสียภาษีดอกเบี้ยตราสารหนี้ และไม่ได้เป็นเจตนารมย์มาแต่ดั้งเดิม (ไม่เหมือนที่รัฐตั้งใจสนับสนุนกองทุน RMF, LTF, Provident Fund กองทุนตราสารทุน ฯลฯ ด้วยภาษีในรูปแบบต่างๆ) เราก็จะขอทำตัวเป็นตัวอย่างของธุรกิจที่ดี ที่จะเสียภาษีให้รัฐนำไปพัฒนาบ้านเมืองต่อไป เพราะเราเข้าใจดีว่าทรัพยากรหรืองบประมาณรัฐเป็นสิ่งที่มีจำกัด หากภาษีที่รัฐจะได้เพิ่มจากเราจะมีส่วนช่วยพัฒนาบ้านเมืองได้ เราก็ยินดี” นางวรวรรณ กล่าว

เรื่องนี้จะมีผลออกมาอย่างไรก็ยังคงต้องติดตามดูต่อไป แต่ที่ค้างคาใจ คือ รัฐบาลไม่มีเงินแล้วจริงๆเหรอ ถึงได้ซุ่มเก็บเงินภาษีกันไปทั่ว? logo เล็ก (ปิดท้ายข่าว)

การเงิน ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP