7 สิงหาคม 2560 : ในยุคที่สตาร์ทอัพสายเทคโนโลยีกลับมาบูมอีกครั้ง ทำให้หลายคนมองว่ามีความเป็นไปได้ที่ “ฟองสบู่ดอทคอม” อาจซ้ำรอยประวัติศาสตร์ พูดแบบนี้หลายคนอาจจะไม่เชื่อ ว่ายุคเทคโนโลยีเฟื่องฟูที่เป็นอยู่ในขณะนี้จะกลายเป็นฟองสบู่ และเป็นฟองสบู่ที่กำลังจะแตกเสียด้วยนะ!!
แล้วอะไรทำให้คิดเช่นนั้น ล่าสุด กูรูด้านลงทุนอย่าง นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า ภาพการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีช่วงนี้ อยากให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากแนวโน้มการเกิดฟองสบู่ในกลุ่มเทคโนโลยีขณะนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งหลายคนยังไม่ทราบ และไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะแตกเมื่อไหร่ สถานการณ์ดังกล่าวคล้ายกับเหตุการณ์ในอดีตช่วงปี พ.ศ.2540-2543 ได้เกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอมหรือภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ไอที สำหรับภาวะดังกล่าว คือ ภาวะการเก็งกำไรอันเกินควรของตลาดหลักทรัพย์ภาคเทคโนโลยี
ส่วนเหตุผลที่มองว่าภาคเทคโนโลยีได้เกิดภาวะฟองสบู่ในขณะนี้ เนื่องจาก P/E ตลาด NASDAQ ซึ่งเป็นตลาดที่มีธุรกิจเทคโนโลยีอยู่เป็นจำนวนมาก แล้วช่วงวันที่ 24-28 ก.ค.60 P/E อยู่ที่ 93 เท่า หากย้อนกลับไปดูช่วงที่เกิดฟองสบู่ดอตคอมหลายสิบปีที่ผ่านมา P/E ตลาด NASDAQ ขยับขึ้นเกินกว่า 100 เท่า หลังจากนั้นตลาดก็ทรุดลง 78% ร่วงจาก 5,100 จุดมาเป็น 1,100 จุด กลายเป็นฟองสบู่ดอตคอม ขณะที่ประเทศไทยช่วงนั้นอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว ทำให้คนไทยจำเรื่องฟองสบู่
หลังจากที่กูรู ตั้งข้อสังเกตุเรื่องฟองสบู่เทคโนโลยี หลายคนคงอยากรู้แล้วว่า ภาวะฟองสบู่ดอทคอมเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ดังนั้น บทความนี้จึงขอหยิบเรื่องราวในอดีตกรณีฟองสบู่ดอทคอมให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น เพื่อวางแผนการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีได้อย่างรอบครอบมากขึ้น
สำหรับฟองสบู่ดอทคอม หรือ Dotcom Bubble เกิดขึ้นเมื่อปีคริสศักราชที่ 1995-2000 ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในสิบวิกฤตทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน ช่วงรอยต่อระหว่างทศวรรษที่ 1990 กับยุคมิลเลนเนียม คือยุคเฟื่องของอินเตอร์เน็ตในสหรัฐ บริษัทชั้นนำหลายราย ทั้ง เว็บพอร์ทัล-อีคอมเมิร์ซ-เสิร์ชเอ็นจิน อาทิ Yahoo!, Amazon, Ebay หรือ Google ล้วนเกิดขึ้นในยุคนั้น สถิติในปี 1998 ระบุว่า มีเว็บไซต์ที่ทำธุรกิจออนไลน์เกิดขึ้นถึง 400,000 เว็บ คิดเป็น 200 เท่าจากปี 1995 ที่มีเพียง 2,000 ราย
ในยุคนั้น นักลงทุนจำนวนมากที่เห็นความสำเร็จของบริษัทชั้นนำข้างต้น ล้วนแต่พร้อมจะลงทุนกับธุรกิจดอทคอมอยู่แล้ว โครงการใหม่ๆ ที่ฟังดูเข้าท่า มีโอกาสดีที่จะทำ IPO เพื่อเข้าสู่ตลาดหุ้นได้ไม่ยาก เห็นได้จากมูลค่าของ NASDAQ ซึ่งเป็นที่รวมของยักษ์ใหญ่ด้านเทค ก็เติบโตจาก 1,000 จุด ในปี 1995 ไปถึงระดับ 5,000 จุด ในเวลาเพียงห้าปี จนใครก็อยากโดดเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ ไม่ว่าจะมีความพร้อมแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมดอทคอม เร็วเกินกว่าที่เทคโนโลยีในยุคนั้นจะตามได้ทัน ความผิดหวังของผู้บริโภคที่อินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ทันใจ นำมาซึ่งความถดถอยในตลาดทุน เพราะนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในบริษัทและสตาร์ทอัพสายเทค
จุดต่ำสุดของฟองสบู่ดอทคอมมาถึง เมื่อดัชนี NASDAQ ที่เคยขึ้นไปแตะ 5,132 จุดในเดือนมีนาคม ปี 2000 ตกลงมาอยู่ที่ 1,470 จุดในเวลาไม่กี่เดือน หลายบริษัทที่เคยมีมูลค่านับพันล้าน ในช่วง IPO แทบกลายเป็นศูนย์ในชั่วพริบตา กระทั่งหุ้นของ Amazon.com ที่เคยสูงถึง 107 ดอลลาร์ ก็ตกลงมาเหลือเพียง 7 ดอลลาร์ ในตอนนั้น แม้หลายบริษัทจะเอาตัวรอด และฟื้นคืนกลับมาได้ แต่กว่า 90% ก็ล้มหายตายจากไป ทิ้งรอยแผลใหญ่ให้เศรษฐกิจสหรัฐนานหลายปี และนี่คือส่วนหนึ่งของบรรดาคีย์เพลย์เยอร์ ที่มีส่วนก่อให้เกิดฟองสบู่ดอทคอมในเวลานั้น ไม่ว่าจะเกิดจากความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
Yahoo! ผู้บุกเบิกโลกอินเตอร์เน็ต ที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่นสารพัด แต่ภาพจำแรกของเว็บไซต์ คือการเสิร์ชหาคอนเทนท์ออนไลน์ ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนในยุคนั้นมากที่สุด ระหว่างเดือนเมษายนถึงกันยายน 1994 ยอดเข้าชม Yahoo! เพิ่มจาก 1,000 คนต่อสัปดาห์ เป็น 50,000 คนต่อวัน ทั้งที่เทคโนโลยียุคนั้นยังไม่อำนวย กระทั่งจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายมาถึง เมื่อ Netscape Navigator เบราเซอร์ที่ใช้งานง่าย และมาพร้อมกับปุ่ม Directory ซึ่งจะยิงตรงไปสู่ Yahoo! ช่วยให้เว็บไซต์มียอดผู้เข้าชมต่อวันสูงถึง 1 ล้านคน ในเดือนมกราคม 1995
ช่วงนี้เองที่ Jerry Yang และ David Filo เชื่อว่า Yahoo! พร้อมแล้วสำหรับการระดมเงินจากนักลงทุน เช่นเดียวกับการหารายได้จากค่าโฆษณา และขยายไปยังบริการอื่นๆ เช่นการเซ็นสัญญากับ Reuters ในเดือนสิงหาคม 1995 เพื่อนำเสนอข่าวสำคัญ 10 เรื่องในแต่ละวันทางหน้าเว็บไซต์ การเติบโตของบริษัทเล็กๆ ที่มีพนักงานฟูลไทม์แค่ 6 คนเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะในเดือนเมษายน 1996 Yahoo! ก็ทำ IPO เพื่อเข้าสู่ตลาดหุ้น ด้วยราคาที่พุ่งขึ้นจากเดิม 3 เท่าไปอยู่ที่ 33 เหรียญต่อหุ้นและเติบโตจนเป็นเว็บไซต์ที่มีคนใช้งานมากสุดเป็นอันดับสอง รองจาก AOL ในยุคที่ฟองสบู่ดอทคอมเฟื่องฟูถึงขีดสุด
แต่ผลกระทบเมื่อฟองสบู่แตก ก็รุนแรงจนบริษัทเสียศูนย์ไปไม่น้อยเช่นกัน เมื่อหุ้นของบริษัทที่เคยทำ all-time high ที่ 118.75 เหรียญในปี 2000 ลดวูบเหลือเพียง 8.11 เหรียญในปีเดียว Yang ยังอยู่ประคับประคอง Yahoo! ต่อมา ก่อนลาออกในปี 2012 เพราะแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นที่ไม่พอใจเจ้าตัวในการปล่อยให้ Jack Ma มีอิสระในการบริหาร Alibaba ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 40% มากเกินไป (แม้สุดท้าย Ma จะแสดงให้เห็นว่า Yang เลือกถูกก็ตาม) ปัจจุบัน Yang ก่อตั้ง AME Cloud Ventures เพื่อเป็น VC ให้กับสตาร์ทอัพใหม่ๆมากมาย รวมถึงกลับไปรับตำแหน่งบอร์ดของ Alibaba ตามคำเชิญของ Ma
ส่วนด้าน Filo เลือกเก็บตัวเงียบตั้งแต่เริ่มแรก และมีชื่อในบอร์ดของบริษัทเรื่อยมา โดยทำควบคู่ไปกับ K12 Start Fund เพื่อลงทุนในบริษํทสาย ed tech (เทคโนโลยีด้านการศึกษา) และ Yellow Chair Foundation กองทุนไม่หวังผลกำไรที่สนับสนุนการศึกษา ศิทธิมนุษยชน และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
Broadcast.com เจ้าของไอเดียวิทยุทางอินเตอร์เน็ตยุคแรก ซึ่งก่อตั้งโดย Christopher Jaeb ก่อนได้ Todd Wagner กับ Mark Cuban มาสมทบ ทั้งหมดกลายเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืน หลังขายกิจการให้ Yahoo! เมื่อ 1 เมษายน 1999 ในราคา 5,700 ล้านดอลลาร์ Jaeb ย้ายไปใช้ชีวิตในฮาวาย และทำงานด้านสิ่งแวดล้อม ส่วน Wagner กับ Cuban ผันตัวไปทำธุรกิจบันเทิง รวมถึงซื้อกิจการของ Dallas Mavericks และปั้นทีมจนเป็นแชมป์ NBA 2011
Geocities อีกหนึ่งเว็บพอร์ทัลยุคบุกเบิก ที่ก่อตั้งโดย David Bohnett และ John Rezner ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับ Yahoo! และทำ IPO ในปี 1998 ก่อนถูก Yahoo! ซื้อกิจการในปีถัดมา ทั้ง Bohnett และ Reznet ที่ได้เงินไปหลายร้อยล้านดอลลาร์จากการขายกิจการ ผันตัวไปทำกิจการการกุศลและสิ่งแวดล้อมแทน
theGlobe โซเชียล เน็ตเวิร์ค รุ่นบุกเบิกที่ก่อตั้งในปีเดียวกับ Yahoo! โดย Stephan Paternot และ Todd Krizelman หลังเข้าสู่ตลาดหุ้น ราคาของบริษัทก็พุ่งกระฉูดจากตอนเปิดตัวถึง 606% ไปแตะที่ 97 เหรียญ แต่ภายหลังฟองสบู่แตก ราคาหุ้นของบริษัทก็ดำดิ่งจนเหลือไม่ถึง 10 เซนต์ Paternot แยกตัวจากบริษัทก่อนฟองสบู่แตก และหันไปลงทุนกับสตาร์ทอัพสายอินเตอร์เน็ทแทน ส่วน Krizelman โยกเงินบางส่วนไปไว้กับบริษัทอื่น ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากหายนะครั้งนี้มากนัก ปัจจุบัน เจ้าตัวเป็นเจ้าของ MediaRadar แพลทฟอร์มที่จะช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายในการโฆษณาในฟอร์แมตต่างๆ
Napster ต้นตำรับไฟล์แชริ่งด้านเพลง ซึ่งนำไปสู่การฟ้องร้องโดยศิลปินในยุคนั้น จนต้องปิดตัวลง และถูกซื้อกิจการไปในที่สุด Sean Fanning พยายามเริ่มต้นใหม่กับ Snocap แพลทฟอร์มมาร์เก็ตเพลสด้านเพลง แตไม่ประสบความสำเร็จ ก่อนย้ายไปทำ Rupture โซเชียลเน็ตเวิร์ค เฉพาะทางสำหรับผู้เล่น World of Warcraft เกม MMO ตามด้วย Path.com เว็บไซต์แชร์ภาพ และล่าสุดคือ Airtime.com เว็บไซต์สำหรับไลฟ์วิดีโอ ส่วน Sean Parker เคยร่วมงานกับ Facebook ในช่วงสั้นๆ และร่วมลงทุนใน Spotify และก่อตั้ง Airtime.com ร่วมกับ Fanning เพื่อนเก่า
และที่กล่าวมาคือ ตัวอย่างของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีที่ได้รับผลกระทบจากฟองสบู่ ดังนั้น ในยุคที่สตาร์ทอัพสายเทคโนโลยีกลับมาบูมอีกคร้งในปัจจุบัน ทำให้หลายคนมองว่ามีความเป็นไปได้ที่ฟองสบู่ดอทคอมอาจซ้ำรอยประวัติศาสตร์อีกครั้ง!!