WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันพุธ ที่ 4 มิถุนายน 2568 ติดต่อเรา
ชิปการ์ดศักยภาพที่ไม่ควรมองข้าม!!!

หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ มีแนวพัฒนาระบบการเงินไทยให้เป็นไปตามหลักสากลในด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาการชำระเงินด้วยระบบอิเลคทรอนิคอย่างมีศักยภาพด้วยการติดชิปในบัตรเดบิต แทนแถบแม่เหล็กจึงเป็นแผนการพัฒนาหนึ่งที่แบงก์ชาติต้องการให้เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นแผนระยะยาวที่แบงก์ชาติได้รวมมือกับสมาคมธนาคารไทย ในการพัฒนาระบบดังกล่าวให้มีศักยภาพที่ดี มีความปลอดภัยสูงมาหลายปีที่ผ่านมา โดยเป้าหมายสำคัญ คือ การชำระเงินอย่างปลอดภัยใช้ได้ทุกร้านค้าตั้งแต่แผงลอย ไปจนถึงร้านค้าขนาดใหญ่ เรื่องนี้ได้มีการพัฒนาต่อเนื่องมาหลายปี เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้ธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในระบบ เตรียมปรับเปลี่ยนบัตรเงินในรูปแบบต่าง ๆ ให้มีศักยภาพตามที่ภาครัฐต้องการ

thumbnail_IMG_9347

นำร่องโดยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ธนาคารกรุงเทพ มีการพัฒนาบัตรเดบิตให้เป็นระบบชิปแทนแทบแม่เหล็ก แต่การนำร่องของธนาคารกรุงเทพนั้น ทำให้ประชาชนที่ถือบัตรรู้ถึงปัญหาในการใช้บัตรที่ติดชิป คือ บัตรนี้สามารถใช้ได้เฉพาะตู้ที่ได้มีการปรับปรุงในการรองรับบัตรประเภทมีชิปติดเท่านั้น ซึ่งในยุคแรกๆ มีเพียงตู้ของแบงก์กรุงเทพไม่กี่ตู้ที่สามารถรับระบบดังกล่าวได้ ส่วนตู้เงินธนาคารอื่นไม่สามารถรองรับบัตรดังกล่าวได้ จนในที่สุด ธนาคารกรุงเทพได้ทยอยปรับเปลี่ยนตู้ATM ที่มีอยู่ให้สามารถรับบัตรที่ติดชิปได้เกือบหมดแล้ว ส่งผลให้ลูกค้าหันมาปรับเปลี่ยนบัตรมากขึ้น

การส่งสัญญาณของแบงก์ชาติในการพัฒนาระบบชำระเงินอิเลคทรอนิค เริ่มเห็นเป็นรูปธรรมขึ้น ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของไทยทยอยพัฒนาระบบบัตรเดบิตให้สอดคล้องกับเป้าหมายของแบงก์ชาติมากขึ้น จะเห็นได้ว่าบัตรเอทีเอ็มธนาคารไม่กี่แห่งที่ให้ลูกค้าได้เลือกใช้ว่าจะใช้แบบธรรมดาหรือแบบชิปการ์ด แต่ส่วนใหญ่จะบังคับให้ลูกค้าหันมาใช้บัตรเดบิต ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่มีการพัฒนาระบบที่ดีมีความปลอดภัยประชาชนก็ไม่อยากถือบัตรเดบิต การพัฒนาบัตรตามแนวทางแบงก์ชาติก็จะเป็นอีกจุดหนึ่งในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

thumbnail_IMG_9349

ล่าสุด แบงก์ชาติได้สั่งให้ทุกธนาคารที่อยู่ภายใต้การดูแลทุกแห่ง เปลี่ยนบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตของลูกค้าให้เป็นบัตรแบบชิปการ์ด เพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูล โดยเริ่มดีเดยตั้งแต่วันที่ 16พ.ค.59 ที่ผ่านมา โดย นางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และ นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย แถลงข่าวร่วมกันว่า “ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ค.นี้เป็นต้นไป บัตรเอทีเอ็ม และ บัตรเดบิต ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งในประเทศไทยจะถูกเปลี่ยนจากบัตรแบบแถบแม่ เหล็กเดิม เป็นบัตรแบบชิปการ์ด เพื่อความปลอดภัยจากการถูกโจรกรรมข้อมูล ตามแผนพัฒนาระบบการชำระเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย

สำหรับ ลูกค้าเดิมของแต่ละธนาคารต้องเปลี่ยนบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิต เป็นชิปการ์ด ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้เวลาธนาคารพาณิชย์เปลี่ยนแปลงบัตรลูกค้าที่ใช้ บัตรประเภทนี้ที่มีอยู่จำนวน 60,000,000 ใบ กำหนดแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2562 ส่วนค่าธรรมเนียมบัตรนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้ออกเกณฑ์ควบคุม แต่จะใช้วิธีการหารือกับสมาคมว่าให้คิดอัตราที่เหมาะสม และหลังจากนี้ให้ติดประกาศและแจ้งให้ลูกค้าทราบด้วย

ด้าน นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย ยืนยันว่าการเปลี่ยนบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตในครั้งนี้นั้น จะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มทั้งค่าใช้จ่ายบัตรและค่าธรรมเนียมแรกเข้าไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งแต่ละธนาคารจะกำหนดแตกต่างกันไป ส่วนตู้ ATM รองรับบัตรชิปการ์ดขณะนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนไปแล้ว 80% ของจำนวนตู้ที่มีทั้งระบบ

ธนาคารกรุงเทพผู้นำร่องชิปการ์ด
สร้างศักยภาพระบบบัตรต่อเนื่อง

ล่าสุด ธนาคารกรุงเทพ ได้ร่วมกับบริษัท ไทย เพย์เมนต์ เน็ตเวิร์ก จำกัด หรือ TPN และ บริษัท ไชน่า ยูเนี่ยนเพย์ จำกัด เปิดตัวบัตรบีเฟิสต์ สมาร์ท ทีพีเอ็น ยูเนี่ยนเพย์ (Be 1stSmart TPN UnionPay) รวมคุณสมบัติโดดเด่น ด้วยเป็นบัตรใบแรกของประเทศไทย ที่ออกบนเครือข่ายระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศ (Local Card Scheme) โดยใช้ความปลอดภัยสูงสุดด้วยเทคโนโลยีชิพอัจฉริยะ และรหัส 6 หลัก สำหรับยืนยันการชำระค่าสินค้าและบริการ ณ ร้านค้าทั่วประเทศไทยที่มีเครื่องหมาย TPN และร้านค้าในต่างประเทศอีกกว่า 34 ล้านแห่งใน 157 ประเทศทั่วโลก ที่มีเครื่องหมาย UnionPay และการส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือ (SMS) แจ้งเตือนการใช้จ่ายตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไปทุกครั้ง

พร้อมรับสิทธิประโยชน์มากมายจาก UnionPay International และ Travel Mate Asia ในขณะเดียวกันยังสามารถกดถอนเงินสด โอน จ่าย และอีกหลากหลายธุรกรรมการเงินที่เครื่องเอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพและธนาคารชั้นนำอื่นๆ ทั่วประเทศที่รองรับชิพการ์ด รวมถึงธนาคารอื่นทั่วโลกที่รองรับชิพการ์ดและมีเครื่องหมายUnionPay

กสิกรไทยออกบัตรเดบิตชิปการ์ด 3แบบ
บัตรสำหรับชีวิตสุดล้ำ สนุกกับความบันเทิงออนไลน์

ส่วนธนาคารกสิกรไทยไม่น้อยหน้าออกบัตรเดบิตชิปการ์ด 3แบบ เน้นความปลอดภัยส่งเสริม e-Payment ของชาติ โดยออกบัตรเดบิตแบบชิปการ์ดที่มีความปลอดภัยสูงในการทำธุรกรรมผ่านเครื่องเอทีเอ็ม การซื้อของผ่านร้านค้าทั่วไปและร้านค้าออนไลน์ทั่วโลก ซึ่งจะช่วยพัฒนาระบบชำระเงินของไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และวางพื้นฐานสู่การส่งเสริมการชำระเงินในรูปแบบ e-Payment เพื่อลดการใช้เงินสดตามนโยบายของรัฐบาล และพร้อมกันนี้ ธนาคารได้ทยอยปรับปรุงเอทีเอ็มทั่วประเทศประมาณ 12,000 เครื่อง ให้รองรับการใช้งานของบัตรเดบิตในรูปแบบชิปการ์ดจากทุกธนาคาร

บัตรเดบิตกสิกรไทยแบบชิปการ์ด มี 3 รูปแบบ คือ บัตรเดบิต K-Debit Card เป็นบัตรที่สามารถทำธุรกรรมได้ที่เครื่องเอทีเอ็ม ใช้ซื้อสินค้าในร้านค้า และช้อปออนไลน์ได้ทั่วโลก บัตรเดบิต K-My Play บัตรสำหรับชีวิตสุดล้ำ ให้ สนุกกับความบันเทิงออนไลน์ ผ่าน 3 แอพพลิเคชันดัง ในเดือนถัดไป บัตรเดบิต K-Max Plus ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุเต็มแม็กซ์กับค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 5,000 บาทต่ออุบัติเหตุ 1 ครั้ง โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง เงินชดเชยกรณีรักษาตัวที่โรงพยาบาลจากอุบัติเหตุสูงสุดวันละ300 บาท (30 วันต่ออุบัติเหตุ 1 ครั้ง) และคุ้มครองการเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพสิ้นเชิงจากอุบัติเหตุสูงสุด 200,000 บาท และทุกบัตรยังได้รับสิทธิประโยชน์จากกิจกรรมส่งเสริมการขายจากบัตรเดบิตกสิกรไทยต่อเนื่องตลอดทั้งปี

โดยบัตรเดบิตกสิกรไทยแบบชิปการ์ดทั้ง 3 แบบ มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดตามมาตรฐานสากล โดยข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในชิปที่ป้องกันการถูกคัดลอกข้อมูลหรือสกิมมิ่ง พร้อมเพิ่มรหัสพิน (PIN)จาก 4 หลัก เป็น 6 หลัก และใช้งานได้สะดวกทุกช่องทาง ทั้งธุรกรรมถอนโอนจ่ายผ่านเครื่องเอทีเอ็มได้ทุกเครื่องที่รองรับบัตรชิปการ์ดตามมาตรฐานวีซ่า (VISA)ทั่วโลก ซื้อสินค้าผ่านเครื่องรับบัตร (EDC) ช้อปออนไลน์โดยใช้ข้อมูลบัตร และยืนยันด้วยรหัส OTP (One Time Password) ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าที่สนใจเปลี่ยนบัตรเดบิตจากแบบแถบแม่เหล็กเป็นชิปการ์ด สามารถติดต่อที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขาทั่วประเทศได้ตั้งแต่วันนี้ โดยจะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้า และเสียเฉพาะค่าธรรมเนียมรายปีตามประเภทของบัตร

ปัจจุบันมีลูกค้าผู้ถือบัตรเอทีเอ็มและเดบิตของธนาคารกสิกรไทยกว่า 10 ล้านบัตร คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดประมาณ 17% จากผู้ถือบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตในไทยทั้งหมด 60 ล้านบัตร มีมูลค่าการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตกสิกรไทยประมาณ 45,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ถือเป็นอันดับที่ 1 ในตลาดที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตอยู่ที่ 108,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาบัตรเดบิตกสิกรไทยมุ่งใช้กลยุทธ์รูปแบบ “ยูนิเวอร์แซล เดบิต การ์ด” (Universal Debit Card) คือใช้บัตรเดบิตเพียงบัตรเดียวได้ในทุกที่และทุกเรื่อง ซึ่งการเปลี่ยนมาใช้ชิปการ์ดที่มีความปลอดภัยสูงน่าจะช่วยให้ลูกค้ามีความมั่นใจในการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ธนาคารคาดว่าจะมีลูกค้าเปลี่ยนบัตรเป็นแบบชิปการ์ดในปีนี้ประมาณ 2 ล้านบัตร อย่างไรก็ตามลูกค้าที่ถือบัตรเดบิตแบบแถบแม่เหล็ก ก็ยังคงใช้บัตรเดิมได้ตามปกติจนกว่าบัตรจะหมดอายุ

กรุงไทยใจป้ำให้ลูกค้าเลือก 4 แบบ

ส่วนทางด้านธนาคารกรุงไทยก็ได้ร่วมพัฒนาระบบชำระเงินของประเทศ ออกบัตรเดบิตแบบชิปการ์ด ให้ลูกค้าเลือกตามความต้องการรวม 4 รูปแบบตามประโยชน์ของบัตรแต่ละประเภทด้วยกัน โดยสามารถใช้ได้กับเครื่องเอทีเอ็มทุกเครื่องของธนาคารกรุงไทย และธนาคารอื่นๆ ที่รับบัตรชิปการ์ดทั่วประเทศ โดยยังคงอัตราค่าทำบัตรและค่าบริการรายปี อัตราเดิม ธนาคารได้ออกบัตรแบบชิปการ์ดมาตั้งแต่ปลายปี 2557 ซึ่งขณะนี้ มีบัตรแบบชิปการ์ดอยู่ประมาณ 1 ล้าน 5 แสนใบ โดยสามารถใช้ได้กับเครื่องเอทีเอ็มทุกเครื่องของธนาคารกรุงไทย และธนาคารอื่นๆ ที่รับบัตรชิปการ์ดทั่วประเทศ

ทั้งนี้ บัตรเดบิตแบบชิปการ์ด 4 ประเภท ได้แก่ บัตรเคทีบี ช้อปสมาร์ท คลาสสิก ใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านช่องทางร้านค้า และระบบ Online Shopping บัตรเคทีบี ช้อปสมาร์ทเพิร์ล ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุและคุ้มครองการถูกโจรกรรมเงินที่ถอนผ่านเครื่องเอทีเอ็มของธนาคาร ภายใน 30 นาที สูงสุดครั้งละ 5 พันบาท พร้อมประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลคุ้มครองสูงสุด 1 แสน บาท บัตรเคทีบี ช้อปสมาร์ท บลูไดมอนด์ เอ็กซ์ตร้า ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ ค่าชดเชยรายได้สูงสุดครั้งละ 1 หมื่นบาท พร้อมประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลคุ้มครองสูงสุด 5 แสนบาท และบัตรเคทีบี ช้อปสมาร์ท พาราเดี่ยม ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุสูงสุดครั้งละ 2 หมื่นบาท พร้อมประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลคุ้มครองกรณีต่างประเทศสูงสุด 1 ล้านบาท รวมทั้งคุ้มครองการถูกโจรกรรมเงินที่ถอนผ่านเครื่องเอทีเอ็มของธนาคารภายใน 30 นาที และคุ้มครองความเสียหายต่อสินค้าที่ซื้อผ่านบัตร

สำหรับลูกค้าของธนาคารที่ถือบัตรแบบแถบแม่เหล็ก ซึ่งมีจำนวนกว่า 12 ล้านใบนั้น ยังสามารถใช้บริการผ่านเครื่องเอทีเอ็มได้ตามปกติจนกว่าบัตรจะหมดอายุหรือไปจนถึงสิ้นปี 2562 สำหรับบัตรที่หมดอายุหรือบัตรชำรุดเสียหาย ลูกค้าสามารถเปลี่ยนบัตรหรืออัพเกรดประเภทบัตรได้ โดยไม่เสียค่าทำบัตรได้ที่ทุกสาขาทั่วประเทศ ส่วนค่าธรรมเนียมรายปี ธนาคารคิดค่าธรรมเนียมตามสิทธิประโยชน์ของบัตรแต่ละประเภท ซึ่งบัตรประเภทคลาสสิก เสียค่าธรรมเนียมรายปีๆละ200บาท

thumbnail_IMG_9348

แบงก์ชาติออกโรงแจงข้อเท็จจริง
บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตแบบมีชิป

แม้ว่าการเปลี่ยนบัตรจากแทบแม่เหล็กเป็นระบบชิปการ์ดจะเป็นเรื่องดี แต่ก็มีธนาคารหลายแห่งมีการคิดค่าเปลี่ยนบัตรและค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น กลายเป็นภาระของผู้ถือบัตรพอสมควรสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย งานนี้ นางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาชี้แจ้งถึงการบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตที่ประชาชนถืออยู่ในมือเพื่อลดความกังวลว่า ตามที่มีข้อความเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในช่องทางต่างๆ เกี่ยวกับการออกบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตแบบชิป แบงก์ชาติขอชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการออกบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตแบบชิป ดังนี้

1.ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นไป บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตใบใหม่ที่ธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารออกให้แก่ลูกค้าจะเป็นบัตรแบบชิป ซึ่งมีความปลอดภัยในการใช้งานมากกว่าบัตรแบบแถบแม่เหล็กที่มีอยู่เดิม

2.บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตแบบแถบแม่เหล็ก (Magnetic Card) ที่มีอยู่เดิม ยังสามารถใช้ทำธุรกรรมทางการเงินกับตู้เอทีเอ็มทุกตู้ได้ตามปกติต่อไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ซึ่งธนาคารพาณิชย์จะทยอยเปลี่ยนบัตรแบบแถบแม่เหล็กเดิมให้เป็นบัตรแบบชิปเมื่อบัตรแบบแถบแม่เหล็กเดิมหมดอายุหรือตามกำหนดที่ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งจะแจ้งให้ลูกค้าทราบต่อไป

3.หากผู้ถือบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตแบบแถบแม่เหล็กมีความประสงค์จะขอเปลี่ยนบัตรเป็นบัตรแบบชิป สามารถแจ้งความประสงค์ขอเปลี่ยนบัตรได้ที่ธนาคารผู้ออกบัตร โดยมีค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนบัตรและค่าธรรมเนียมการใช้บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิต เป็นไปตามอัตราและเงื่อนไขที่ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งกำหนดไว้

4.ธนาคารพาณิชย์บางแห่งอาจยกเว้นค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนบัตร เป็นแบบชิปให้แก่ลูกค้าเป็นการชั่วคราว เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้บัตรแบบชิปซึ่งมีความปลอดภัยสูง และเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของลูกค้า ผู้ใช้บริการในระยะแรก ทั้งนี้ ตามเงื่อนไขที่ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งกำหนด

5.บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตแบบชิปสามารถใช้งานได้กับตู้เอทีเอ็มของธนาคารผู้ออกบัตรได้ตามปกติทุกตู้และทุกพื้นที่ อย่างไรก็ดี ในระยะแรก อาจมีตู้เอทีเอ็มบางตู้ในบางพื้นที่ของบางธนาคาร ที่ยังไม่พร้อมรองรับการทำธุรกรรมของบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตแบบชิปต่างธนาคาร ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้บริการไม่ได้รับความสะดวกบ้าง โดยเครื่องเอทีเอ็มที่ยังไม่พร้อมรองรับการใช้บัตรชิปต่างธนาคารจะแสดงข้อความให้ผู้ใช้บริการทราบ

thumbnail_IMG_9345

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตที่ธนาคารพาณิชย์ให้บริการในปัจจุบันมีความหลากหลาย มีเงื่อนไขการให้บริการ และค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน ดังนั้น ผู้ใช้บริการควรสอบถามรายละเอียด และเงื่อนไขการให้บริการของผลิตภัณฑ์บัตรแต่ละประเภท ก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการ เพื่อให้ได้รับบริการที่เหมาะสมกับความต้องการใช้ของตนเอง โดยผู้ใช้บริการสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ธนาคารพาณิชย์ Website ของธนาคารพาณิชย์หรือสามารถเรียกดูค่าธรรมเนียมบัตรเปรียบเทียบทุกธนาคารได้ที่ Website ของธนาคารแห่งประเทศไทย (www.bot.or.th) หากผู้ถือบัตรมีข้อสงสัยหรือไม่ได้รับความสะดวกในการใช้บัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตแบบชิปสามารถติดต่อสอบถามไปยังธนาคารเจ้าของบัตรได้โดยตรงตามหมายเลข Call Center ของแต่ละธนาคาร หรือที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย โทร. 1213

อย่างไรก็ตาม หากผู้ถือบัตรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับระบบดังกล่าวอย่างรอบครอบ และพร้อมในการปรับเปลี่ยนบัตรจากแทบแม่เหล็กเป็นชิปการ์ด การเปลี่ยนไปถือบัตรที่เป็นชิปก็ัเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ในการป้องกันความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และธนาคารพาณิชย์ก็ไม่ควรเพิ่มภาระให้กับผู้ถือปรับเปลี่ยนบัตรเพราะยังมีรายย่อยจำนวนมากได้รับผลกระทบ

การเงิน ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP