1 สิงหาคม 2559 : เมื่อย่างเข้าสู่ช่วงปลายปี มักได้ยินคำถามจากมนุษย์เงินเดือนบ่อยๆว่า จะซื้อ LTF กองทุนไหนดี หรือกองทุน LTF ไหนน่าซื้อที่สุด ถ้าใช้วิธีเลือกเดินเข้าแบงก์ที่สะดวก คุณก็อาจจะได้กองทุนที่ดีที่สุดของธนาคารนั้น แต่จะเป็นกองทุนที่น่าลงทุนที่สุดหรือไม่นั้น อาจจะไม่ใช่ ถ้าคุณไม่ได้ค้นคว้าหาข้อมูลมาล่วงหน้า ดังนั้น วันนี้เราจึงจะมาหาคำตอบกันว่า กองทุน LTF กองไหนที่จะดีที่สุดสำหรับคุณ ในช่วงสุดท้ายปลายปีนี้
สิ่งที่เราจะใช้เป็นหลักในการค้นหาสุดยอดกองทุน LTF นั้นก็คือ ผลการดำเนินงาน (Performance) ในอดีต ซึ่งก็คือ ผลตอบแทนที่ได้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าผลการดำเนินงานในอดีต จะมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต แต่เป็นข้อมูลที่ทำให้เราเชื่อได้ว่า กองทุนที่เคยทำผลงานได้ดี น่าจะมีโอกาสทำได้ดีต่อไปเช่นกัน หากเปรียบกับวงการกีฬา แชมป์เก่าก็ย่อมมีโอกาสที่จะคว้าชัยชนะ หรือทำคะแนนได้สูงกว่าคู่แข่ง ในการแข่งขันครั้งต่อไป แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่า จะสามารถรักษาตำแหน่งแชมป์ไว้ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในอนาคต
คำถามที่ตามมาก็คือ จะดูผลตอบแทนย้อนหลังไปนานแค่ไหน ซึ่งข้อมูลผลตอบแทนของกองทุนนั้น มีให้เราดูตั้งแต่ 1 สัปดาห์ 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน ยาวไปถึง 1 ปี 3 ปี และ 5 ปีเลยทีเดียว ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่บอกให้ดูไปยาวๆ 3 ปี 5 ปีเลย ด้วยเหตุผลที่ว่า กองทุนที่ดีนั้นจะต้องทำผลงานได้ดีอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ดีแค่ปีเดียว ซึ่งอาจจะฟลุ๊คก็ได้ ดังนั้น เราจึงจะคัดเลือกกองทุนที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในช่วงเวลา 1 ปี 3 ปี และ 5 ปี ขึ้นมาพิจารณาเปรียบเทียบกัน เพื่อดูเรื่องความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงาน และแนวโน้มในอนาคต
ส่วนข้อมูลจากบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในข้อมูลกองทุนต่างๆของไทย โดย นายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ นักวิเคราะห์กองทุนประจำประเทศไทย มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ กองทุน LTF ที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้ในระดับสูง คือ กองทุน LTF ของบลจ.ทหารไทยสามารถทำผลตอบแทนได้สูงถึง 17.17% รองลงมาคือ บลจ.ฟิลิป ผลตอบแทนอยู่ที่ 14.52% บลจ.กรุงศรี ผลตอบแทนที่ 13.91% ส่วนกองทุน RMF ที่ทำผลตอบแทนอันดับ 1 คือ บลจ.CIMB ทำผลตอบแทนสูงถึง 20.33% รองลงมา บลจ.LH fund ผลตอบแทน 18.51% และบลจ.ทหารไทย ผลตอบแทน 17.12%
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในกองทุนLTFและกองทุนRMFช่วงครึ่งหลัง เชื่อว่า เม็ดเงินลงทุนในกองทุนทั้ง 2 ประเภทยังคงเติบโตดี เพราะช่วงดังกล่าวเม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้ากองทุนทั่งสองนี้มากที่สุดเช่นในทุกๆปี แต่ประเด็นที่น่าติดตามคงหนีไม่พ้นในส่วนของกองทุน LTF ที่ได้มีการเปลี่ยนเกณฑ์ในการลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์เป็นปีแรกจากที่ลงทุน 5 ปีเป็น 7 ปีปฎิทินซึ่งอาจส่งผลต่อเม็ดเงินลงทุนสุทธิทั้งปีได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าทั้งปีจะมีเม็ดเงินสุทธิไหลเข้ากองทุนทั้ง 2 ประเภทแบบชะลอลงจากปีก่อนอยู่บ้าง โดยปกติแล้วเม็ดเงินสุทธิไหลเข้ากองทุน LTF เฉลี่ยต่อปีประมาณ 30,000ล้านบาท และกองทุน RMFเฉลี่ยต่อปีประมาณ 18,000- 20,000 ล้านบาท สำหรับกองทุนLTF มี 2 รูปแบบจะลงทุนหุ้น 100% และหุ้น 70% ซึ่งช่วงครึ่งแรกของปีนี้นักลงทุนยังระมัดระวังพร้อมขายออกทำกำไรก่อนเมื่อผลตอบแทนหุ้นสูงขึ้น และระยะถัดไปยังมีนักลงทุนที่กล้าๆกลัวๆ จากการเปลี่ยนเกณฑ์การลงทุนนานขึ้นเป็น 7 ปีปฏิทิน ทำให้มีความเสี่ยงสูงและยิ่งในภาวะตลาดผันผวน
ดังนั้น ถ้านักลงทุนที่ไม่ยังเห็นประโยชน์อื่นๆ นอกเหนือจากการประหยัดภาษี อาจจะชะลอหรือลงทุนลดลงกองทุนLTFไป เพราะนักลงทุนจัดสรรและวางแผนการลงทุนมากขึ้นกว่าเดิม
มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช ยังเปิดเผยอีกว่า สำหรับหลักทรัพย์ที่กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนเพื่อสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) เข้าลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุน ในส่วนของกองทุน LTF ประกอบด้วย หุ้น PTT , SCC , AOT , ADVANC , KBANK , BDMS , BBL , SCB , INTUCH และ CPALL ส่วนหลักทรัพย์ที่กองทุน RMF เข้าลงทุนมากสุดและสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนได้ในระดับสูง ประกอบด้วย หุ้นCPNRF , TLGF , PTT , SCC , CPTGF, WHAPF , ADVANC , SPF, SCB และ QHPF
สุดท้ายนี้ เชื่อว่าข้อมูลข้างต้น จะช่วยให้ทุกท่านตัดสินใจเลือกกองทุน LTF ที่ดีที่สุดสำหรับคุณในปีนี้ได้ไม่ยากนัก ซึ่งจะเป็นกองทุนที่สามารถถือไว้ในระยะยาวได้อย่างสบายใจ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การลงทุนครั้งนี้จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าแก่คุณในอีก 5 ปีข้างหน้า