15 มกราคม 2560 : ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วสำหรับเดือนมกราคม 2560 หลายคนยังสนุกสนานกับการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในรูปแบบต่างๆเพื่อสร้างความสุขให้ตัวเอง และก็มีหลายคนที่ยังคงมีความสุขกับเงินที่เพิ่มขึ้นในช่วงต้นปี ที่มาจากเงินโบนัสประจำปี การขึ้นเงินเดือน รายได้จากเงินพิเศษ ฯลฯ สำหรับใครหลายๆคนที่ได้รับโอกาสเหล่านี้ ข่าวดีเรื่องเงินโบนัส หากจะว่าไปแล้วเหมือนความฝันของหลายคนที่มีแผนสำหรับเงินก้อนนี้ถ้าหากได้มา บางคนตั้งเป้าจะนำเงินโบนัสไปท่องเที่ยว บางคนนำเงินโบนัสไปจ่ายหนี้ บางคนนำโบนัสไปลงทุน ฯลฯ ซึ่งขึ้นอยู่กับเจตตาของแต่ละคน
แต่สำหรับผู้ที่มองกาลไกล ที่จะนำเงินโบนัสไปลงทุนให้ได้ดอกผลงอกเงย แต่จะทำอย่างไรให้เงินพิเศษที่ได้มาสามารถเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง วันก่อนได้เหลือบไปอ่านข้อมูลของ Mr.Messenger แนะวิธีการลงทุนเมื่อได้เงินโบนัสประจำปีไว้ได้อย่างน่าสนใจมาก ซึ่งอาจจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการศึกษาสำหรับผู้ที่ชอบนำเงินมาต่อเงินในตลาดทุน
แล้ว Mr.Messenger เป็นใคร? Mr.Messenger เป็นนามแฝงของ นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ กรรมการบริหาร INFINITI Global Investors ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกูรูทางการเงินที่ฮอตฮิตมาก นักลงทุนในห้องสินธร ในเว็บบอร์ดพันทิพย์ จะรู้จักกันดีและมีการติดตามอ่านผลงานจำนวนมาก
กลับมาพูดถึงเรื่องการวางแผนลงทุนที่กล่าวมาข้างต้นกันต่อ Mr.Messenger ได้อธิบายไว้ได้อย่างน่าสนใจโดย Mr.Messenger กล่าวไว้ว่า นอกจากปัจจัยสำคัญ คือ “มีเงินลงทุน” แล้วก็ยังต้องมีอีก 1 ปัจจัย คือ มันต้องเป็นโอกาสที่ไม่เกินองค์ความรู้ที่เรามีอยู่ ณ ตอนนั้นๆ เพราะถ้ามันเกินกว่าที่เราเข้าใจได้ มันก็มีโอกาสสูงที่เราจะเทคความเสี่ยงนั้น ต่ำเกินไป หรือ สูงเกินไป ก็ทำให้พลาดโอกาสดีๆไปอยู่ดี พอเข้าสู่ปีใหม่ ปัจจัยแรก คือ “มีเงินลงทุน” มันคือ ปัจจัยที่เราพร้อมที่สุดในรอบปี สาเหตุก็เพราะมี เงินโบนัสออกมานั้นเอง ซึ่งแต่คนจะเอาโบนัสไปทำอะไรให้ตัวเองพึงพอใจมากที่สุด
แต่ทางหนึ่งที่ผมทำมาตลอด และเงินก้อนนี้ละที่สร้างพอร์ตได้เป็นกอบเป็นกำ ก็คือ นำมันไปลงทุนซะ !! แบ่งบางส่วนมาหาความสุขบ้าง แต่ก็ต้องวางแผนชีวิตในระยะยาวไว้ด้วย นี่คือแนวคิดทางสายกลางของผม
สมมตินะ ว่าคุณผ่านขั้นตอนการต่อสู้กับความคิดของตัวเองไปแล้ว จะเอาเงินไป เดินเล่น กินปู ดูพระอาทิตย์ตก หรือ ยกระดับชีวิตด้วยการลงทุน แล้วตัดสินใจได้ว่า ต้องการอย่างสุดท้าย คือ ลงทุน!! สิ่งที่คุณมักจะถามกันเข้ามาต่อจากนี้ก็คือ จะลงทุนตูมเดียว หรือ แบ่งเงินลงทุนเป็นก้อนๆ แล้วทยอยลงทุนดี? ผมมาเรียงลำดับ Logic ให้ว่าคุณควรทำอย่างไรก็น้องโบที่ทุ่มเทมาทั้งปี
ทบทวนเป้าหมายด้านการเงินของตัวเอง ว่า … ณ วันนี้ มันยังห่างจากเป้าหมายไกลๆของเราหรือเปล่า สมมติว่า วันนี้อายุ 35 ปี มีเป้าหมายตอนเกษียณ อยากมีเงินก้อนซัก 40 ล้านบาท วันนี้พอร์ตเพิ่งโตมาได้เป็น 3 ล้านบาท แสดงว่า ยังเหลืออีก 37 ล้านบาท ที่ต้องสะสม ปีนี้ มีเงินโบนัสเข้าบัญชีมา 3 แสนบาท คิดเป็น 10% ของเงินลงทุนปัจจุบัน ก็แสดงว่า จำนวนไม่ถือว่าเยอะด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ เราไม่ควรคิดเรื่องการแบ่งทยอยลงทุนมากเกินไป เพราะพอร์ตยังห่างไกลจากเป้าหมาย มีเวลาสะสมระยะยาวอีก 25 ปี และจำนวนเงินลงทุนยังไม่เยอะ บวกกับ ควรตั้งการทยอยลงทุนทุกเดือน เพื่อสะสมเงินลงทุนที่เราได้เงินเดือนมาใส่ในพอร์ตทุกๆเดือนควบคู่กันไป
วางแผนการลงทุนให้ดีก่อนถึงแม้น้องโบ(นัส) จะถือเป็นเงินก้อนที่ใหญ่ที่สุดของปีสำหรับมนุษย์เงินเดือน แต่จากท้ายข้อ 1. ผมชี้ให้เห็นแล้วว่า นักลงทุนที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ควรวางแผนการลงทุนโดยสะสมเงินลงทุนต่อเนื่องทุกเดือน ที่เราเรียกกันว่า Dollar Cost Average (DCA) ซึ่งข้อดี คือ มันเป็นการเสริมสร้างวินัยการออมในระยะยาว และเงินก้อนนี้ จริงๆแล้ว ถ้าทำได้ มันก็คือ การทำให้เรามีรายจ่ายต่อเดือนลดลง (เพราะตัดเงินบางส่วนมาลงทุนก่อนที่จะเอาไปทำอะไรต่อมิอะไร) ดังนั้น หากคุณมีแผนการทยอยลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งคิดว่า น้องโบนี้ จะลงทุนอย่างไร ก็ใส่เข้าพอร์ตไปทั้งจำนวนเลยดีกว่า แล้วถ้ามีเงินใหม่จากการ DCA ก็จะมาเติมเข้าพอร์ตเรื่อยๆอยู่แล้ว
ย้อนกลับมาดูตลาดว่าใช่จังหวะการลงทุนไหม??
แน่นอนว่า ถ้าทบทวน 2 ข้อข้างบนแล้ว อยากลงทุน และพบว่า เงินโบนัสก้อนนี้ คือเงินก้อนใหญ่ที่อยากให้ความใส่ใจ ก็ต้องกลับมาดูว่า ตลาด ณ ตอนนี้ มีแนวโน้มจะเป็นอย่างไรในอนาคตระยะสั้น และ ระยะกลาง โดยถ้าเรามีมุมมองว่า ตลาดอาจมีความผันผวนในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า แต่เชื่อว่าผลตอบแทนระยะยาวมาแน่ๆ ก็อาจสามารถแบ่งเงินโบนัสออกเป็น 3 ก้อน และทยอยลงทุนไป 3 เดือน เพื่อลดความเสี่ยงก็ได้ หรือ สำหรับนักลงทุนที่มีมุมมองเชิงบวกในระยะยาว อยู่แล้ว จังหวะการลงทุนที่ดีที่สุด ก็คือ “จังหวะที่คุณมีเงินพร้อม” นั่นละครับ
ปัญหาของนักลงทุนอีกอย่างที่สำคัญก็คือ แล้วมันใช่จังหวะที่จะลงทุนจริงๆหรอ ดูยังไงดูไม่เป็นเลย?? ผมก็มีมุมมองให้ดู 2 มุมมอง โดยยกตัวอย่างหุ้นไทยที่ระดับดัชนีปัจจุบันครับประกอบด้วย ความถูกแพงของตลาด และพื้นฐานของเศรษฐกิจและมุมมองต่ออนาคต
ปัจจุบัน P/E หุ้นไทย อยู่ที่ระดับเกือบๆ 19x ขณะที่ SET Index อยู่ที่ระดับ 1,570 – 1,5780 จุด หากเทียบกับตอนที่ P/E พีคในช่วงปี 2015 ตอนนั้น SET Index มีค่า P/E สูงอยู่ที่ระดับ 24.58x ทำให้ ณ ระดับตรงนี้ SET Index อาจดูไม่ได้มีมูลค่าถูก แต่ก็ไม่ได้อยู่ในโซนที่ Valuation แพงจนน่ากลัว (แต่ก็ต้องระมัดระวังบ้าง)
กลับมาดูที่เศรษฐกิจไทย เอาแบบเป็นแนวโน้ม ก็จะเห็นว่า เติบโตได้ในระยะยาวเรื่อยมานับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2014 ปีนี้จากการรวบรวมความเห็นของนักวิเคราะห์ต่อเศรษฐกิจไทยโดยสำนักข่าว Bloomberg โดยเฉลี่ยก็เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยจะโตได้ 3.2% ในปีนี้ ล่าสุด รองนายกฯสมคิด แถลงกับสื่อว่า ไทยเรา มีโอกาสโตได้เกินกว่า 3-4% จากการเดินหน้าการปฎิรูปด้านต่างๆ และการวางรากฐานในปีที่ผ่านมา
โดยปัจจัยที่จะเอื้อทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ต่อเนื่อง มาจากการที่เศรษฐกิจประเทศใหญ่เริ่มฟื้นตัว ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออก รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรปรับตัวดีขึ้น ดูแล้วทิศทางเศรษฐกิจไทยปีนี้ก็ดูสดใส แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องติดตามนะ แถมอีกหน่อย อาจมีคนสนใจว่า บางคนโบนัสออกเดือน ม.ค. , ก.พ. บางคน ไปออกเดือน มี.ค. ก็มี แล้วดูสถิติในอดีตแล้ว มันมีบอกไหมว่าควรลงทุนที่เดือนไหน? ถ้าให้ตอบจากใจก็คือ ถ้าเชื่อว่า อนาคตระยะยาวตลาดหุ้นจะไปได้อีก และเราก็ตั้งใจลงทุนระยะยาว ก็ทยอยลงทุนไปเถอะครับ
จากข้อมูลพบว่าช่วงเดือน ม.ค. เป็นเดือนที่ ตลาดหุ้นไทยบวก 4 ปี ลบ 6 ปี ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ง่ายๆคือ มีโอกาสปรับตัวลงพอๆกับปรับตัวขึ้น แต่พอเข้าเดือน ก.พ. โอกาสที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น สูงเป็น 90% เพราะมีคิดลบแค่ปี 2008 แค่ปีเดียว ใครที่อยากจะหาจังหวะลงทุนระยะสั้น ก็แสดงว่า ลงทุนเดือน ม.ค. มีโอกาสที่พอร์ตจะเป็นบวกเพราะเดือน ก.พ. ปิดปลายเดือน บวกถึง 9 ปีใน 10 ปีที่ผ่านมา
ก่อนจบยังคงย้ำว่า..การจะลงทุนเงินก้อน หรือ จะทยอยลงทุนทีละเดือน มันอยู่ที่ เป้าหมายการเงินของเราส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือ เรามีการออกแบบและวางแผนการลงทุนไว้ก่อนหน้านี้แล้วหรือยัง และสุดท้ายคือ ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด ซึ่งตรงนี้ละครับ คือองค์ความรู้ที่จำเป็น ที่จะทำให้ โอกาสการลงทุนที่เกิดขึ้น ซึ่งสามารถจะแปลงเป็นกำไรในระยะยาวให้กับพอร์ตเราจริงๆ