23 ธันวาคม 2567 : ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย คาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัย ปี 2568 ว่าจะมีอัตราการเติบโตดีกว่าปีที่ผ่านมาหรือราว 1.5-2.5% เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 291,240 – 294,100 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งช่วยสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจประกันภัย ขณะที่การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล (Insur Tech) เป็นปัจจัยหลักในการผลักดันธุรกิจประกันภัยไปข้างหน้า ทั้งการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และทำให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น เมื่อแยกย่อยเฉพาะด้านถึงการคาดการณ์ธุรกิจประกันภัยแต่ละประเภทมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ธุรกิจประกันรถยนต์คาดว่าปี 2568 จะเติบโตประมาณ 1-2% จากปัจจัยของยอดขายรถใหม่ปลายปี 2567 และจากการกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อเริ่มผ่อนคลายโดยเฉพาะทางด้านกระทรวงการคลัง ส่งสัญญาณให้เอกชนผ่อนคลายให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แต่เบี้ยประกันภัยอาจจะปรับตัวสูงขึ้นจากอัตราความเสียหายที่เพิ่มมากขึ้น แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มการซื้อความคุ้มครองที่น้อยลงของผู้บริโภค จากทีเห็นตัวเลขในปี 2567 มียอดการซื้อประกันแบบ 2+ 3+ มากขึ้นซึ่งอาจจะทำให้เบี้ยประกันภัยไม่ได้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญมากนึก
"กลุ่มของรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นรถ EV หรือ รถยนต์ไฮบริด และรถปลั๊กอินไฮบริด เมื่อเข้าซ่อมก็มีอัตราสูง จึงมีแนวโน้มว่า เบี้ยประกันภัยของรถประเภทดังกล่าวอาจจะมีการปรับตัวสูงมากขึ้น ซึ่งอัตราเบี้ยประกันรถ EV จะมีราคาสูงกว่ารถยนต์สันดาปประมาณ 30% ซึ่งขณะนี้ค่าเฉลี่ยของเบี้ยประกันภัยรถ EV แต่ละบริษัทนั้นแตกต่างกัน เนื่องจากปัจจัยการแข่งขันตลาดเสรี โดยสมาคมฯเพียงชี้แนะถึงความเสี่ยงของค่าซ่อมรถ EV สูงกว่ารถยนต์สันดาปอย่างไร และขณะนี้รถ EV มือสองแทบจะไม่มีราคาเมื่อใช้ไปแล้ว 3-5 ปี เนื่องจากแบตเตอรี่อาจจะมีความเสี่ยงหรือเกิดปัญหา จึงนับว่าเป็นความเสี่ยงของธุรกิจประกันวินาศภัยในอนาคต"
ขณะที่ทางด้านการประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) คาดว่าจะเติบโตระหว่าง 1.5-2.5% เป็นผลมาจากยอดการจดทะเบียนใหม่ของรถยนต์ป้ายแดง แต่คาดว่าจำนวนกรมธรรม์อาจจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ช่วงงานมอเตอร์ โชว์ ในเดือนมีนาคม 2568 จะเป็นดัชดีชี้วัดที่สำคัญ
สำหรับการประกันภัยสุขภาพคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตระหว่าง 1.5-2.5% เนื่องจากประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ คนเหล่านี้มีการซื้อประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมหากมีเหตุที่จะต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในอนาคต รวมไปถึงปัญหาด้านมลพิษฝุ่น PM 2.5 ที่ยังคงรุนแรงต่อเนื่อง และประเด็น Medical Inflation อยู่ในระดับ 8-10% ส่งผลให้ประกันภัยสุขภาพต้องปรับอัตราเบี้ยประกันสูงขึ้น ซึ่งในเร็วๆ นี้จะเห็นว่าทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัยต่างออกมาหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวคิดทางด้านการจัดทำ Co Paymant หรือจัดกลุ่มตามอัตราค่ารักษาพยาบาล
ขณะนี้ทางสมาคมประกันวินาศภัยได้ข้อสรุปแล้วว่า กรมธรรม์สุขภาพใหม่ที่จะออกมาในอนาคตหรือไตรมาสแรก เดือนมีนาคม 2568 เป็นต้นไป จะเป็นกรมธรรม์ในลักษณะค่าใช้จ่ายร่วม (Co pay หรือ Co-Payment) ซึ่งจะทำให้ประกันวินาศภัยในภาพรวมลดลง เนื่องจากประชาชนมีส่วนร่วมในการช่วยตรวจสอบด้านค่ารักษาพยาบาล โดยจะมีการสื่อสารให้ประชาชนทราบในรายละเอียดก่อนทำประกันด้วย
"อีกทั้งสมาคมฯ ยังมีแนวคิดที่จะแบ่งกลุ่มของสถานพยาบาล เช่นกลุ่ม 1 2 3 หรือ A B C เพื่อให้ ประชาชนก็สามารถเลือกซื้อในกลุ่ม 2 หรือกลุ่ม 3 ซื้อกลุ่มที่มีค่ารักษาพยาบาลที่ประหยัดกว่าก็จะทำให้เบี้ยประกันภัยประหยัดตามไปด้วย ขณะนี้ได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อคุยรายละเอียดร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทยถึงทิศทางการดำเนินงานประกันสุขภาพ ส่วนการออกกรมธรรม์ที่มีการกำหนดกลุ่มของสถาพยาบาลนั้นคงจะเป็นลำดับถัดไป ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกันจะแบ่งกลุ่มของสถานพยาบาลอย่างไร" ดร.สมพร กล่าวเสริม
ส่วนด้านการประกันอัคคีภัยคาดว่าจะเติบโตระหว่าง 5.5-6.5% เป็นผลมาจากสิ่งปลูกสร้างมีแนวโน้วมเพิ่มมากขึ้น ด้านผู้ประกอบการก็ให้ความรู้แก่ผู้ที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์แนะนำให้ซื้อประกันภัยตามความเสี่ยงภัยที่มีหรือตามวงเงินกู้ อีกทั้งประชาชนก็ตระหนักทางด้านความเสียงภัยของภัยธรรมชาติมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะในพื้นที่มีประวัติเคยน้ำท่วมซ้ำซาก ก็มีการซื้อประกันภัยกันมากขึ้น ขณะเดียวกันด้านบริษัทประกันภัยก็มีการกำหนดความรับผิดสูงสุดของภัยน้ำท่วมไว้
ทางด้านการประกันภัยความเสียงภัยทุกชนิด (IAR) ปีหน้า 2568 คาดว่าจะเติบโตที่ 3.5-4.5% คาดการณ์ว่าจำนวนกรมธรรม์ยังเติบโตตามทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรม ก็ยังต้องระมัดระวังความเสี่ยงด้านการลดอัตราเบี้ยประกันของกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีขนาดทุนประกันภัยเกิน 5,000 ล้านบาทขึ้นไป อันเนื่องมาจากผู้ประกอบการพยายามบริหารต้นทุนหรือลดค่าใช้จ่าย ซึ่งสิ่งนี้ก็อาจจะเป็นตัวฉุดรั้งให้การประกันภัย IAR ไม่เติบโตตามที่คาดไว้
ส่วนการประกันภัยทางทะเลและขนส่ง ในปีที่ผ่านมาเติบโตติดลบ แต่ปีหน้า 2568 คาดว่าจะเติบโตระหว่าง 1-2% เนื่องจากมีการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมการผลิต การเติบโตทางด้านตลาดอีคอมเมิร์ช และความต้องการซื้อสินค้าไทย การประกันภัยตัวเรือมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 8% แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์สงครามที่อาจมีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาท และการขึ้นกำแพงภาษีจากประเทศสหรัฐอเมริกาหลังจาก นายโดนัล ทรัมป์ จะเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีต้นปีหน้า
สำหรับการประกันภัยการเดินทาง ภาครัฐคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทยประมาณ 39.9 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2567 อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นสมาคมฯ จึงประมาณการณ์เติบโตการประกันภัยเดินทาง (TA) ระหว่าง 7.5-8.5% เนื่องจากทางภาครัฐพยายามส่งเสริมจัดกิจกรรมด้านต่างๆ เช่น คอนเสิร์ต งานเฉลิมฉลอง งานสัมมนา ฯลฯ ต่างเป็นแรงจูงใจให้คนต่างชาติเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย ขณะที่คนไทยก็เดินทางท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
การประกันภัยความรับผิดตามกฎหมาย (PDPA) คาดว่าปี 2568 จะเติบโตระหว่าง 5.5-6.5% ซึ่งในปีที่ผ่านมาจะเห็นแนวโน้มว่าประชาชนสนใจซื้อความคุ้มครองประเภทนี้มากขึ้น ป้องการการถูกหลอกลวงในหลายมิติ ส่วนผู้ประกอบการเองก็ตระหนักรู้ถึงสิทธิของการเรียกร้องหากถูกละเมิด ดังนั้นผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวรับมือกับความเสี่ยงต่อเรื่องดังกล่าวด้วย
ทั้งนี้ ปัจจัยที่สนับสนุนให้ธุรกิจประกันภัยมีอัตราเติบโตกว่าในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย
1.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ถึงแม้ว่าจะมีความหวาดระแวงของสภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน, สงครามตะวันออกกลาง หรือทะเลจีนใต้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ยังเป็นข้อกังวลแต่เชื่อว่า ประเทศกำลังพัฒนาเป็นสิ่งสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจประกันภัย ประกอบกับแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในขาลงในหลายภูมิภาค ซึ่งจะช่วยให้ภาวะเศษฐกิจเติบโตได้
2.การเติบโตเฉพาะทาง อาทิ การประกันสุขภาพโดยเฉพาะบางกลุ่มที่คิดว่าความคุ้มครองที่ถืออยู่นั้น อาจจะไม่เพียงพอจึงมีการซื้อเพิ่มขึ้น รวมถึงการประกันภัยไซเบอร์ จะมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากแนวโน้มของการถูกล่อลวง จากความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้นทั่วโลก และการประกันภัยเดินทางที่เติบโตไปในทิศทางเดียวกับตัวเลขการท่องเที่ยว
3.การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล (Insurance Tech) จะเข้ามาเป็นปัจจัยหลักในการช่วยผลักดันธุรกิจประกันภัยในอนาคต โดยข้อดีคือ ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และทำให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น
ปัจจัยท้าทาย ของธุรกิจในปี 2568 มีดังต่อไปนี้
1.ภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี
2.การจัดการความเสี่ยงด้านไซเบอร์ ซึ่งส่งผลกระทบกับองค์กรทุกระดับ
3.การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม จึงต้องมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
4.นโยบายของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการค้าของโลกและการขึ้นกำแพงภาษี รวมถึงการลงทุนในประเทศอาจจะลดลง การย้ายถิ่นฐานด้านการลงทุนไปยังประเทศอื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความเสี่ยงของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย
ดร.สมพร กล่าวต่อไปถึงภาพรวมผลประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2567 ว่า จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลให้ผู้คนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบน้อยลง หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น กระทบต่อภาคธุรกิจต่างๆ เป็นวงกว้าง ธุรกิจประกันวินาศภัยเองก็เผชิญกับความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ในส่วนของธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2567 ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลัง COVID-19 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีความรุนแรงมากขึ้น ความท้าทายในการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า และการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ ล้วนส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งสิ้น
โดยผลประกอบการในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนกันยายน 2567 ธุรกิจประกันวินาศภัย มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 209,060 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตติดลบ 0.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัย ปี 2567 ทั้งปีนั้น คาดการณ์ว่าจะเติบโตราว 0.0%-1.0% มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 285,790-288,650 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากก5%ารฟื้นตัวของยอดขายรถใหม่ในช่วงปลายปีที่ได้รับแรงกระตุ้นและมาตรการสินเชื่อที่เริ่มผ่อนคลาย รวมถึงการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศที่ฟื้นตัวเต็มที่ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาอาจส่งผลให้คนผ่อนสินเชื่อที่อยู่อาศัยนานขึ้นทำให้มีความจำเป็นต้องต่ออายุกรมธรรม์
ขณะที่ผลประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัยประเภทต่างๆ ณ 3 ไตรมาส (มกราคม-กันยายน) ของปี 2567 ในส่วนของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ จำนวน 116,909 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตลดลง -1.3% ซึ่งมีผลมาจากภาวะเศรษฐกิจทำให้ยอดขายรถใหม่หดตัวจากปีก่อน 26% และเบี้ยประกันภัยเฉลี่ยลดลงจากความนิยมในการซื้อกรมธรรม์ประเภท 1 น้อยลง ในขณะที่เบี้ยประกันอัคคีภัย จำนวน 8,329 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 7.3% ส่วนเบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่ง จำนวน 5,216 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตลดลง -2.1% มาจากปัญหาสินค้าส่งออกล้นตลาดจากประเทศจีน ส่งผลกระทบการส่งออกสินค้าไทย ประกอบกับเบี้ยประกันภัยการขนส่งสินค้าทางทะเลและการขนส่งสินค้าทางรถบรรทุกหดตัว ด้านเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด จำนวน 78,606 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตลดลง จากประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันสุขภาพ และประกันความเสี่ยงภัย
นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวต่อว่า ในส่วนของอัตราความเสียหาย (Loss Ratio) ของการประกันวินาศภัยประเภทต่าง ๆ ในรอบ 9 เดือน (มกราคม-กันยายน) ของปี 2567 นั้น พบว่า อัตราความเสียหายโดยรวมของการประกันภัยทุกประเภทนั้นเท่ากับ 56.9% ซึ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มประกันภัยรถยนต์และประกันสุขภาพ ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการบริหารความเสี่ยงและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
โดยอัตราความเสียหายของการประกันภัยรถยนต์ 61.7% อัตราความเสียหายของการประกันอัคคีภัย 23.7% อัตราความเสียหายของการประกันภัยทางทะเล 30.0% และอัตราความเสียหายของการประกันภัยเบ็ดเตล็ด 50.9% (ประกันความเสี่ยงภัยทุกชนิด (44.0%) ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมาย (32.2%) ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (48.8%) ประกันสุขภาพ (65.5%) ประกันภัยการเดินทาง (32.8%) และการประกันภัยอื่น ๆ (40.9%)) ซึ่งจากผลการดำเนินการของธุรกิจประกันวินาศภัย ณ ไตรมาส 3 ปี 2567 มีกำไรจากการรับประกันภัยลดลงจากอัตราความเสียหาย (Loss Ratio) ที่เพิ่มขึ้นใน 3 ประเภทงานหลัก คือ รถยนต์ ประกันความเสี่ยงภัยทุกชนิด และประกันสุขภาพ
สำหรับการเติบโตของการประกันสุขภาพถึงแม้ว่า 3 ไตรมาสแรกมีการขยายตัวลดลงเล็กน้อย แต่เชื่อว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายจะมีประชาชนเข้ามาซื้อมากยิ่งขึ้น เบี้ยประกันสุขภาพปี 2567 คงเติบโต 2.3% ขณะที่การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลปลายปีนี้คาดว่าทรงตัว ถึงแม้ว่าจำนวนกรมธรรม์จะเพิ่มขึ้นแต่เบี้ยประกันภัยอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากสินค้าดังกล่าวมีการแข่งขันกันสูง ทางด้านการประกันภัยเดินทางนับว่าเป็นข่าวดี เนื่องจากธุรกิจการท่องเที่ยวไทยนั้นฟื้นตัวหลังจากผ่านพ้นช่วงโควิด 19 มาส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวในเมืองไทยมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวไทยก็ออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เบี้ยประกันภัยเฉลี่ยจึงเพิ่มสูงขึ้น โดยขั้นตอนในการซื้อกรมธรรม์ที่ สะดวก รวดเร็ว และสามารถซื้อผ่านช่องทาง Online ได้ทำให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายทำให้คาดว่าปีนี้จะเติบโต 9.5-10.5%
การประกันภัยความรับผิดทางกฎหมายในปีนี้คาดว่าจะเติบโตประมาณ 5.5-6.5% เนื่องจากสถานประกอบการและประชาชนตระหนักถึงกฎหมายต่างๆ ที่ออกมาและทำให้เกิด PDPA ส่งผลให้การประกันความรับผิดทางกฎหมายมีผู้สนใจซื้อมากขึ้น
"คาดการณ์ประกันอัคคีภัย สิ้นปี 2567 จะเติบโตระหว่าง 5-6% ซึ่งธุรกิจก็ยังเร่งขยายตลาดประกันอัคคีภัยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาทำให้คนที่ซื้อบ้านที่อยู่อาศัยต้องต่ออายุกรมธรรม์อย่างต่อเนื่องสำหรับกลุ่มคนที่ใช้บริการจากสถาบันการเงิน ส่วนการคาดการณ์การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง คาดว่าสิ้นปีเติบโตลดลงระหว่าง 0.5-1.5% เนื่องจากสินค้าส่งออกล้นตลาด โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีนที่เข้ามาตีตลาดจนส่งผลกระทบต่อสินค้าไทย "ดร.สมพรกล่าวในที่สุด