21 เมษายน 2568 : การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 30 เมษายน 2568 กลายเป็นจุดจับตาระดับประเทศ เมื่อเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ท่ามกลางเงินเฟ้อต่ำเกินกรอบเป้าหมาย ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และแรงกดดันจากต่างประเทศ งานนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องเล่นบทหมากสำคัญให้แม่น เพราะทุกการขยับของอัตราดอกเบี้ยอาจสั่นสะเทือนทั้งระบบ!

ก่อนการประชุม กนง. นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ยิงจดหมายเปิดผนึกด่วนถึงรัฐมนตรีคลัง แจงเหตุเงินเฟ้อเฉลี่ย 12 เดือน ดิ่งต่ำสุดในรอบหลายปี อยู่ที่เพียง 0.6% ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ 1-3% โดยสาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันดิ่ง และมาตรการอุ้มค่าครองชีพของภาครัฐ

แม้เงินเฟ้อจะต่ำผิดคาด แต่ ธปท. กลับยืนกรานว่ายังไม่ใช่เหตุให้ต้องรีบร้อนเปลี่ยนนโยบายอย่างรุนแรง เพราะสถานการณ์นี้เป็นผลจาก “อุปทาน” ไม่ใช่ “อุปสงค์” จึงไม่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอ ขณะที่สินค้าจำเป็นยังมีราคาแพง และประชาชนยังบ่นอุบเรื่องค่าครองชีพ งานนี้ธปท.จึงเลือกเน้นเสถียรภาพระยะกลางมากกว่าแก้ปัญหาแบบฉาบฉวย

ย้อนกลับไปต้นปี กนง. เคยปรับลดดอกเบี้ยมาแล้วหนึ่งรอบ จากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโตไม่ทันใจ พร้อมงัดมาตรการช่วยคนกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้มีหนี้สินพะรุงพะรัง และธุรกิจ SMEs ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ถูกใจใครหลายคน เพราะช่วยผ่อนแรงในช่วงเศรษฐกิจที่ไม่สดใส

แต่ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์ก็ออกมาปักธงแรง ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายเศรษฐศาสตร์ ประจำประเทศไทยและเวียดนาม สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) ชี้ว่า ธนาคารได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือแค่ 2.4% จากเดิมที่เคยหวังไว้ที่ 2.8% เหตุเพราะเจอแรงกดดันหลายด้าน ทั้งการค้าโลกแปรปรวน และผลกระทบจากแผ่นดินไหวที่สะเทือนเศรษฐกิจหลายภาคส่วน

ดร.ทิม ยังฟันธงว่า กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมรอบนี้แน่ ๆ และอาจมีรอบถัดไปในไตรมาส 3 ด้วย ทำให้สิ้นปีอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจลดลงเหลือ 1.5% เพื่อประคองเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดหนัก แต่ก็ไม่วายเตือนว่า ธปท. ยัง “ไม่ส่งสัญญาณชัด” ว่ากำลังเข้าสู่ยุคดอกเบี้ยขาลงหรือไม่

สถานการณ์เศรษฐกิจไทยนาทีนี้เรียกได้ว่า “ลมหายใจเชื่อมโยงโลก” เพราะการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ก็ยังคุกรุ่นอยู่ ล่าสุด..นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นั่งโต๊ะถกด่วนกับผู้ว่าฯ ธปท. และหน่วยงานสำคัญ ช่วงที่ผ่านมา หลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย ซึ่งอาจกระทบทั้งภาคส่งออก ตลาดเงิน และความเชื่อมั่นในระยะยาว

รมว.คลังเปิดใจตรงๆ ว่า “วันนี้ไม่มีใครบอกได้ว่าจะหยิบมาตรการไหนมาใช้” พร้อมสั่งลุยหาแนวทางรับมือ Worst case ที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ส่งออก เช่น สภาพคล่องตึง หนี้สะสม และต้นทุนการนำเข้าสินค้าพุ่ง งานนี้ภาครัฐต้องทำงานใกล้ชิดยิ่งขึ้นเพื่อสู้ศึกทั้งในและนอกประเทศ

กนง. ในฐานะผู้กำหนดนโยบายการเงิน จำเป็นต้อง “เดินเกมอย่างนิ่ง” และแม่นยำทุกก้าว ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ย ค่าเงินบาท หรือการอัดฉีดสภาพคล่อง เพราะหากพลาดแม้แต่น้อย ก็อาจกลายเป็นคลื่นลูกใหม่ที่กระทบเศรษฐกิจทั้งระบบ ขณะที่เสียงจากภาคธุรกิจเรียกร้องให้เร่งกระตุ้นกำลังซื้อและดูแลผู้ประกอบการอย่างเร่งด่วน

สุดท้าย...การประชุม กนง. ในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ไม่ใช่แค่การตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ย แต่เป็นสัญญาณว่า ธปท. จะวางหมากอนาคตเศรษฐกิจไทยอย่างไรในสมรภูมิที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง ใครจะอยู่ ใครจะรอด ต้องรอดู "หมากต่อไป" ของธนาคารกลางไทยให้ดี!