7 กรกฎาคม 2568 : คุณภฤตยา สัจจศิลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง การดำเนินงานของบริษัทในช่วง 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค.68) ที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันรับรวมที่สูงกว่าเป้าหมายถึง 40% โดยมีกำไรสูงกว่าเป้าหมายประมาณ 46% ซึ่งช่องทางธนาคาร หรือ แบงก์แอสชัวรันส์ เติบโตสูงสุด โดยมาจากพาร์ทเนอร์หลักได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารทิสโก้ ซึ่งผลิตภัณฑ์หลัก 50% เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทการประกันชีวิตแบบระยะยาว (Long Term Protection) โดยมาจากธอส. ประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัยประมาณ 50% และอีก 50% เป็น การประกันชีวิตระยะสั้น (Short Term) มาจากธนาคารทิสโก้ และพันธมิตรอื่นๆ ก็มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ซึ่งสัดส่วนเบี้ยประกันจากช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ และตัวแทนอยู่ที่ 60:40
สำหรับช่องทางตัวแทนบริษัทฯก็ให้ความสำคัญมาเป็นลำดับต้นๆ ซึ่งปีนี้การเติบโตเสมอฐาน บริษัทฯจึงมีเป้าหมายในการเร่งพัฒนาตัวแทนใหม่ เพิ่มศักยภาพของตัวแทนเดิมให้มากยิ่งขึ้น โดยมี คุณสหพล พลปัถพี Chief Distribution Officer หรือ CDO เข้ามาช่วยดูช่องทางตัวแทน ช่องทางการขายรายย่อย Corporate Solution ช่องทางในเครือทีซีซี รวมถึงช่องทางโบรกเกอร์ ตลอดจนมีคุณจุฑาทิพย์ ธัญญาพิทักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ดูแลส่วน Corporate Partner
อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการกระตุ้นการสร้างตัวใหม่ที่มีคุณภาพ สร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ตัวแทนอย่างยั่งยืน บริษัทฯ จึงพัฒนาโครงการ “Se Life Crown 3 ปี 3 ล้านบาท” ขึ้น เป็นโครงการที่ตอบโจทย์ตัวแทนที่ต้องการมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่า จากรายได้ในอดีต 24,000-25,000 บาท/เดือน หลักสูตรนี้ตัวแทนสามารถเพิ่มรายได้เกือบ 1 แสนบาท/เดือน ซึ่งขณะนี้มีตัวแทนสามารถพิชิตโครงการนี้แล้วจำนวนมากจนทำให้อัตรา Active ของตัวแทนสูงขึ้นเกือบ 30%" คุณภฤตยา กล่าว
สำหรับโครงการ “Se Life Crown 3 ปี 3 ล้าน” เริ่มโครงการตั้งแต่มิถุนายน 2567 ถ้ารวมรายได้จากโครงการนี้ตลอด 3 ปีแล้วตัวแทนจะได้ผลตอบแทนถึง 6 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดึงดูดคนให้เข้ามาร่วมงานกับอาคเนย์อย่างมาก แม้กระทั่งตัวแทนเก่าของบริษัทยังขอสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ด้วย โดยปัจจุบันมีตัวแทนเข้าร่วมโครงการนี้ประมาณ 200 คน ตั้งเป้าเพิ่มตัวแทนใหม่เป็น 400 คน โดยมีเงื่อนไขหลัก คือต้องเป็นตัวแทนกับอาคเนย์ประกันชีวิต หลังจากนั้น ต้องเข้ารับการอบรมหลักสูตร Fast Start เพื่ออบรมเรื่องผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต และสอบผ่านมีใบอนุญาตการเป็นตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทฯ หลังจากนั้นต้องเข้าสู่การอบรมเรื่องจรรยาบรรณ
"สิ่งที่เป็นหัวใจของโครงการนี้คือ ตัวแทนทุกคนต้องผ่านการอบรมหลักสูตร Fast Start ของบริษัท อบรมเรื่องผลิตภัณฑ์ทั้งหมด และผ่านการสอบขอรับใบอนุญาติประกันชีวิต จากนั้นจึงจะเข้าสู่การอบรมเรื่องของจรรยาบรรณเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อสนับสนุนให้ตัวแทนใหม่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้จัดการตามลำดับ หลังจากนั้นจะได้เข้าอบรม Pre-Manager Program ใน 10-12 เดือน ซึ่งช่วงนี้ ตัวแทนต้องส่งงานทุกเดือนและมีผลงานไม่ต่ำกว่า 6,000 บาท/ต่อเดือน สามารถขาดการส่งงานได้ 2 เดือน หรือตลอดทั้งปีสามารถหยุดพักไม่ต้องส่งงานได้ 2 เดือน แต่บริษัทฯ จะจ่ายผลตอบแทนให้ 15,000 บาท/ เดือน ซึ่งจะช่วยเป็นกำลังใจให้ตัวแทนใหม่ที่ยังไม่มีฐานลูกค้าเพื่อปิดการขายได้ง่าย อย่างน้อยก็การันตีรายได้ให้เหมือนมีงานประจำระดับหนึ่ง" คุณภฤตยา กล่าวเสริม
หลังจากนั้น ภายใต้เงื่อนไขในปีแรกถ้าสามารถทำรายได้ค่าคอมมิสชัน (FYC) ได้ 250,000 บาท จะได้รับเข็ม Se Life Crown ระดับ Emerald, ปีที่ 2 FYC 550,000 บาท ได้รับเข็ม Se Life Crown ระดับ Sapphire และปีที่ 3 ทำ FYC ได้ 850,000 บาท รับเข็ม Se Life Crown ระดับ Dimond พร้อมกับเงินอีก 3 ล้านบาท ซึ่ง 3 ปี จะมีรายได้ค่าคอมมิสชัน 3 ล้านบาทอยู่แล้ว โดยจะได้เพิ่มอีก 3 ล้านบาท รวมเป็น 6 ล้านบาท บริษัทฯ จะจ่ายให้ในเดือนที่ 6 หลังตรวจสอบไม่มีกรณีมันนี่เกม โดยตัวแทนกลุ่มนี้นับว่า มีความคงอยู่ของกรมธรรม์สูงถึง 85% ส่วนใหญ่เป็นตัวแทนอายุเฉลี่ย 38 ปี
แต่สำหรับตัวแทนของอาคเนย์ประกันชีวิตมีทั้งหมดประมาณ 2,000 คน ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายส่งเสริมให้ตัวแทนทำคุณวุฒิ “ตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ” ( THAILAND NATIONAL QUALITY AWARDS : TNQA ) ให้มากขึ้น เพราะเป็นการทำเป้าหมายระยะยาว ส่งเสริมให้ตัวแทนอยู่ในอาชีพอย่างยั่งยืน ซึ่งตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯ เปิดตัวแพลตฟอร์ม D-Life ทำให้ตัวแทนเป็น ดิจิทัล เอเจนต์ ทั้งหมด แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้ตัวแทนสามารถขายประกันได้แบบคล่องตัว และสะดวกรวดเร็วภายในเวลาเพียง 10 นาที ก็สามารถขอเอกสาร ยืนยันตัวตน ส่งใบคำขอทำประกัน บริษัทฯ สามารถขออนุมัติกรมธรรม์บนระบบได้เลยถือได้ว่าสะดวกมาก
คุณภฤตยา กล่าวว่า ล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัวกรมธรรม์ใหม่คุ้มครองโรคมะเร็ง และ 28 โรคร้ายแรง “ซูเปอร์ แคนเซอร์ แคร์” เบี้ยเริ่มต้นวันละ 6 บาท รับทันทีเมื่อตรวจพบโรคร้ายแรง รับเงินก้อนทันที 500,000 บาท, พบมะเร็ง รับเงินก้อนโต ตรวจพบมะเร็งระยะลุกลาม รับเงิน 1 ล้านบาท (เฉพาะกรณีที่ไม่พบโรคร้ายแรงอื่น), พบมะเร็งก่อนระยะลุกลาม รับเงิน 125,000 บาท, กรณีรักษาตัวในโรงพยาบาลจากโรคมะเร็ง รับเงินชดเชย วันละ 2,000 บาท (สูงสุด 500 วัน) สูงสุดรวม 1 ล้านบาท ครบสัญญา รับเงินคืน 20,000 บาท ณ สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 25 และรับเงินครบกำหนดสัญญาอีก 100,000 บาท กรณีเสียชีวิตทุกกรณี แม้ไม่ได้มีสาเหตุจากโรคมะเร็ง หรือโรคร้ายแรงอื่น รับ 600,000 บาท อายุรับประกันภัยตั้งแต่อายุ 16 – 55 ปี
ส่วนแบบประกันอื่นๆ ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน ยกตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์ “Beyond Protection 989” แบบประกันสะสมทรัพย์ คุ้มครองชีวิตถึงอายุครบ 89 ปี จ่ายเบี้ยประกันเพียง 9 ปี มีเงินคืน 10% ให้ทุกปีตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 1 พร้อมปรับเพิ่มเงินคืนในช่วงวัยเกษียณหลังอายุ 60 ปีสูงถึง 15% รับต่อเนื่องยาวถึงอายุครบ 88 ปี ครบกำหนดสัญญารับเงินก้อนอีก 989% พร้อมกับจุดเด่นเรื่องความคุ้มครองชีวิตสูงถึง 900% หากเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรับเพิ่ม 2 เท่า สูงสุด 1800% ทำได้ตั้งแต่อายุ 30 วัน – 70 ปี ซึ่งเบี้ยประกันภัยสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท เบี้ยประกันที่ได้รับความนิยมอยู่ระหว่าง 300,000-500,000 บาท/ปี
"อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าช่วงนี้บริษัทประกันต่างหันมาให้ความสำคัญกับลูกค้า High Net Worth เพิ่มขึ้นเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังในการซื้อประกันไม่มีผลกระทบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และช่วงอัตราดอกเบี้ยขาลงทำให้คนกลุ่มนี้ไม่สามารถลงทุนด้านอื่นได้จงหันมาลงทุนกับประกันชีวิต วันนี้หลายบริษัทจึงหันมาเล่นในเรื่องของ Legacy, High Saving เพราะเศรษฐกิจแบบนี้ กำลังซื้อของคนตัวเล็กๆ หายไป แต่ข้อดีของประกันชีวิต คือ เศรษฐกิจตกต่ำก็ขายได้ เศรษฐกิจดีก็ขายได้ พอเศรษฐกิจตกก็ขายให้กับคนมีเงินเหลือ พอเศรษฐกิจดีก็ขายให้กับคนรายได้น้อยที่ต้องการความมั่นคง แต่สำหรับอาคเนย์ฯ เราจะออกผลิตภัณฑ์ที่ดูแลคนจน และคนรวยได้ในเวลาเดียวกัน" คุณภฤตยา กล่าวเสริม
ส่วนทิศทางสินค้าประกันชีวิตในอนาคตนั้นตนมองว่าส่วนใหญ่จะมาหันมามุ่งเน้นทางด้านแบบประกันระยะยาว ( Long Term Protection) และประกันสุขภาพมากขึ้น โดยขยายไปยังลูกค้ารายย่อย ซึ่งแบบประกันกลุ่มนี้ถือว่ามีอัตราความยั่งยืน (persistency) อยู่ที่ประมาณ 94-95% บริษัทฯ มีฐานลูกค้ากลุ่มนี้ประมาณ 1.2 ล้านกรมธรรม์ อีกประมาณ 200,000 กรมธรรม์ เป็นลูกค้าประกันกลุ่ม
"ภายใต้ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ดังนั้น บริษัทฯ ก็มีกลยุทธ์ในการดำเนินงาน 3 เรื่อง คือ 1. การสร้างของผลิตภัณฑ์ ตามสัดส่วนที่เหมาะสม ทั้งสินค้า Short Term และลดหย่อนภาษี ตลอดจนมุ่งเน้นให้การศึกษาให้ความรู้แก่ผู้เอาประกันเพิ่มขึ้นให้เขารู้ถึงประโยชน์ของการซื้อประกันแบบระยะยาว ถ้ามีสมดุลตรงนี้ที่ดี ธุรกิจเรายั่งยืน 2. ขยายช่องทางการจำหน่ายไปสู่ดิจิทัล เพื่อต่อยอดไปยังพาร์ทเนอร์ ในการสร้างตัวแทนใหม่ และ 3.Open Architecture คือ การเชื่อมต่อกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ ทั้งในเครือทีซีซีเอง ไม่ว่าจะเป็นเฟรเซอร์ AWC Big C, BJC เจาะตลาดทั้งประกันกลุ่มและประกันรายเดี่ยว" คุณภฤตยา กล่าว
สำหรับทางด้านการประกันสุขภาพขณะนี้สามารถควบคุมได้ดี โดยมอบให้ บริษัท Data Analytic Centric ทำ Capacity To Claim ในแต่ละ เซ็กเมนต์ ดูสถิติของการเคลมหากเริ่มสูงบริษัทฯ จะขอเข้าไปจัดกิจกรรม ขอใช้ Telemedicine ทำงานร่วมกัน ถือว่ามีข้อดีทั้งสองฝ่าย ช่วยกันลด เขาก็ไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันสูง บริษัทฯ ก็มีเคลมไม่สูง และลูกค้าก็ได้ประโยชน์สุขภาพดีขึ้นจาก Health Prevention Care ส่งเสริมให้คนดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมากขึ้นเขาก็จะป่วยลดลง
"ส่วนทางด้านลูกค้าองค์กร บริษัทฯ จะมีการเก็บสถติของพนักงานที่มีอัตราเคลมสูง รวมถึงโรงพยาบาลที่มีการเคลมสูง จากนั้นบริษัทฯ จะนำ Data Analytic ขออนุญาตเข้าไปนำเสนอต่อนายแพทย์ เจ้าหน้าที่ด้าน Health & Wellness ไปช่วยดูแลโดยตรง ยกตัวอย่าง ถ้าองค์กรใดมีเรื่องเคลมจากออฟฟิศซินโดรม เยอะๆ เราก็จะมีเจ้าหน้าที่ไปช่วยดูแลเรื่องนี้ ถ้ามีเรื่องระบบทางเดินอาหาร ก็จะพาคุณหมอที่รักษาโดยตรงกับโรคนั้นๆ เข้าไปช่วยดูแล ถ้าเป็นหวัดเยอะ ก็พาหมอด้านปอดเข้าไปช่วยดูแลถึงบริษัทฯ ซึ่งทำแบบนี้มา 3 ปี ทำให้ Claim Ratio ลดลงเยอะมาก จากเดิมสูงถึง 171% ปัจจุบันประกันรายเดี่ยวลดลงมาเหลือประมาณ 50 นิดหน่อย ประกันกลุ่มเหลือ 76%" คุณภฤตยา กล่าวสรุป