5 สิงหาคม 2568 : หลังจากการเจรจายืดเยื้อหลายเดือน ในที่สุดสหรัฐอเมริกาก็ประกาศปิดดีลภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการจากประเทศไทย โดยปรับอัตราภาษีเป็น 19% จากเดิมที่เคยได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) หรือได้รับภาษีที่ต่ำกว่านี้อย่างมาก ดีลนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสะท้อนถึงท่าทีใหม่ของสหรัฐฯ ต่อประเทศคู่ค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ข้อดี ของดีลภาษีใหม่นี้ คือแม้ภาษีจะสูงขึ้น แต่ก็เป็นการ “ล็อกอัตรา” ไว้ที่ 19% อย่างชัดเจน ซึ่งช่วยให้ผู้ส่งออกไทยสามารถวางแผนธุรกิจและตั้งราคาสินค้าได้แม่นยำขึ้น ต่างจากในช่วงก่อนหน้านี้ที่มีความไม่แน่นอนสูง และอาจเจอกับภาษีฉับพลันตามดุลพินิจของศุลกากรสหรัฐฯ อีกทั้ง ยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยหันมาพัฒนา value-added product ที่สามารถชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้น และแข่งในตลาดระดับบนมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ดีลนี้ยังช่วยสร้าง “เสถียรภาพทางการเมืองการค้า” ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในระดับหนึ่ง โดยถือเป็นสัญญาณว่าไทยยังคงอยู่ในเรดาร์ของวอชิงตันในฐานะประเทศที่มีความร่วมมือด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะในยุคที่มหาอำนาจตะวันตกต้องการลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีน การมีข้อตกลงที่ชัดเจนกับไทยจึงเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ข้อเสีย ของภาษีที่สูงขึ้นก็คือ ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าบางกลุ่ม เช่น อาหารแปรรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์ อาจลดลงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งที่ยังได้รับ GSP หรือมีข้อตกลง FTA กับสหรัฐฯ อยู่แล้ว เช่น เวียดนามหรือเม็กซิโก ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวทางเทคโนโลยี การตลาด และต้นทุนการผลิตให้เร็วขึ้น
ในภาพรวม ดีลภาษี 19% นี้จึงอาจไม่ใช่ชัยชนะที่สวยงามนัก แต่ก็ไม่ใช่ความพ่ายแพ้เสียทีเดียว มันคือจุดเปลี่ยนที่อาจเปิดโอกาสใหม่ให้กับผู้เล่นที่พร้อมเปลี่ยนแปลง และเป็นเครื่องเตือนใจให้ไทยต้องเร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้าระยะยาวอย่างรอบคอบและยั่งยืนมากขึ้น หากไม่อยากเสียพื้นที่ในตลาดสำคัญอย่างสหรัฐฯ ไปอย่างช้าๆ และเงียบงัน
ขณะที่ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แสดงความชื่นชม “ทีมประเทศไทย” โดยเฉพาะรองนายกรัฐมนตรี พิชัย ชุณหวชิร ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเจรจาทางการค้าระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ได้ข้อยุติสำคัญเมื่อมีการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทของไทยลงเหลือ 19% จากเดิมที่เคยสูงถึง 36% นับเป็นพัฒนาการเชิงบวกที่ได้รับการต้อนรับจากทั้งภาครัฐและเอกชนครั้งนี้ให้ลุล่วง ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจโลกที่ท้าทาย
ผลของข้อตกลงนี้ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การลดภาษีเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ประกอบการ และสะท้อนความมั่นคงในภาพลักษณ์ของไทยในฐานะฐานการลงทุนในภูมิภาค ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ชี้ว่า ในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มียอดคำขอรับส่งเสริมการลงทุนทะลุ 1 ล้านล้านบาท จากกว่า 1,880 โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ
ด้าน สมาคมธนาคารไทย นำโดยนายผยง ศรีวณิช ก็ออกมาแสดงความขอบคุณและชื่นชมรัฐบาล โดยระบุว่า การลดภาษีในครั้งนี้จะช่วยลดความไม่แน่นอนทางการค้าและเสริมความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย เมื่อผสานกับการผลักดันโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องที่ธนาคารพาณิชย์ไทยกำลังดำเนินการร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ยิ่งทำให้กลไกทางการเงินของประเทศพร้อมสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ
นอกจากนี้ นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB แสดงความเห็นและย้ำว่าภายใต้กติกาใหม่ของการค้าโลก ไทยไม่อาจหวังพึ่งแค่สิทธิพิเศษจากภายนอกได้อีกต่อไป โดยโลกกำลังเปลี่ยนผ่านจาก “การค้าเสรี” ไปสู่ “การค้าแบบมีเงื่อนไข” โดยเฉพาะท่าทีของสหรัฐฯ ที่ใช้มาตรการทางภาษีในการควบคุมห่วงโซ่การผลิต และจำกัดอิทธิพลของจีน การที่ไทยได้รับดีล 19% จึงถือเป็นการ “ประคับประคอง” สถานะในตลาดโลกในระยะสั้น แต่ระยะยาวจำเป็นต้องปรับตัวในเชิงโครงสร้าง
นายปิติ เตือนว่า หากประเทศไทยพึงพอใจกับดีลนี้เพียงเพราะ “ยังไม่เลวร้ายเท่าที่คิด” อาจพลาดโอกาสสำคัญที่จะใช้วิกฤตเป็นจุดเริ่มต้นของการยกเครื่องใหม่ทั้งระบบ เขาเสนอให้ “Restrategize Thailand” โดยเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีเอกลักษณ์ไทยแท้ เสริมซัพพลายเชนภายในประเทศ และยกระดับมาตรฐานธุรกิจด้วยธรรมาภิบาล การเปลี่ยนแนวคิดจากการวัดผลเพียงตัวเลข FDI ไปสู่การเสริมขีดความสามารถในประเทศอย่างแท้จริง
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า ดีลภาษี 19% กับสหรัฐฯ แม้จะเป็นข่าวดีในวันนี้ แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนว่าประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวให้ทันโลกที่เปลี่ยนไป หากต้องการยืนอยู่ในตลาดโลกอย่างแข็งแรงและมั่นคงในระยะยาว ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ และสร้างแต้มต่อด้วยนวัตกรรมและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน มิใช่เพียงรอความเมตตาจากข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศเท่านั้น 












