WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันศุกร์ ที่ 5 ธันวาคม 2568 ติดต่อเรา
“วรางค์ ไชยวรรณ” ไทยประกันชีวิต ร่วม “ถอดรหัสความสำเร็จทรานส์ฟอร์มธุรกิจให้ชนะอนาคต”

30 กันยายน 2568 : คุณวรางค์ ไชยวรรณ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานเสวนาภายใต้หัวข้อ “ถอดรหัสความสำเร็จทรานส์ฟอร์มธุรกิจให้ชนะอนาคต” ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีใจความส่วนหนึ่งว่า การร่วมมือกับพันธมิตรต่างชาติ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญนั่น คือ การที่ไทยประกันชีวิตขายหุ้น 15% ให้กับ บริษัท เมจิ ยาซึดะ บริษัทประกันชีวิตยักษ์ใหญ่แห่งแดนปลาดิบ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมาทำให้ต้องมีการปรับตัวสู่ความเป็นมืออาชีพมากขึ้น รวมถึงการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีการเตรียมตัวจัดทำแผนธุรกิจ 3 ปี เพื่อจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบและโปร่งใส และนับได้ว่าเป็น IPO (Initial Public Offering) การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก ที่มีมูลค่าระดมทุนใหญ่ที่สุดในปี 2565 ประมาณ 37,000 ล้านบาท

ต่อประเด็นเรื่องการกำกับดูแลและสืบทอดกิจการ คุณวรางค์ ให้ความเห็นว่า ธุรกิจประกันมีความซับซ้อนทางเทคนิคสูง จึงต้องอาศัยผู้บริหารมืออาชีพจำนวนมาก ปัจจุบันมีผู้บริหารระดับสูงที่เป็นคนในครอบครัวเพียง 3 คน จากจำนวนพี่น้องปัจจุบัน 6 คน (เสียชีวิต 2 คน) ดังนั้น ตำแหน่ง CEO (Chief Executive Officer) หรือ "ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร" ในอนาคตไม่จำเป็นต้องเป็นคนในครอบครัว แต่ควรมีคนในครอบครัวที่พร้อมทำงานอยู่เสมอ เพื่อตรวจสอบและป้องกันไม่ให้ถูกหลอกโดยเฉพาะเรื่องการเงิน ฉะน้้น ความท้าทายของบริษัทคือ แผนการสืบทอด (Succession Plan) เนื่องจากครอบครัวมีขนาดเล็กและอาจมีช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) ของผู้บริหารรุ่นปัจจุบันกับคนรุ่นใหม่ เพราะฉะนั้นคนรุ่นถัดไป จะต้องพิสูจน์ฝีมือความสามารถของตนเอง การจะขึ้นเป็นผู้นำองค์กรที่มีพนักงานหลายพันคนได้ ไม่ใช่แค่เพราะมีนามสกุลของครอบครัวเท่านั้น

สำหรับความคืบหน้าของการนำ "ไทยประกันชีวิต" เข้าตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถือได้ว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วยสนับสนุนการเติบโตของไทยประกันชีวิตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ผ่าน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1.การเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อรองรับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) การเสริมความแข็งแกร่งของเงินกองทุน และการเพิ่มประสิทธิภาพของช่องทางจัดจำหน่าย 2. เพิ่มความโปร่งใสและธรรมาภิบาล ในการบริหารจัดการและการเปิดเผยข้อมูลสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า นักลงทุน และสังคมซึ่งเห็นได้จากการที่เราได้ SET ESG Rating ปี 2567 ระดับ A และได้รับ CGR ระดับ 5 ดาว 3. ยกระดับความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์แบรนด์

ดังนั้น การใช้เงินที่ได้จาก IPO เพื่อมุ่งเสริมศักยภาพการเติบโตในอนาคต ได้แก่ การลงทุนด้านเทคโนโลยี, การเสริมสร้างเครือข่ายพันธมิตรและช่องทางการจัดจำหน่าย, การเพิ่มความแข็งแกร่งด้านเงินทุนรองรับการขยายธุรกิจ และเงินทุนหมุนเวียนและวัตถุประสงค์ทั่วไปของบริษัท

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสินทรัพย์บริหารลงทุนอยู่ที่ 626,200 ล้านบาท โดยมีการวางแผนบริหารพอร์ตการลงทุนด้วยความระมัดระวัง ซึ่งพอร์ตลงทุนส่วนใหญ่ 88.7% ลงทุนในตราสารหนี้ 555,200 ล้านบาท เช่น พันธบัตรรัฐบาล 55.3% และหุ้นกู้รัฐวิสาหกิจ 31.9% พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 10.3% และที่เหลืออีก 9.7% โดยลงทุนในตราสารทุนหรือหุ้นจำนวน 60,500 ล้านบาท ตราสารทุนต่างประเทศ 67.6%  ขณะนี้ทิศทางของตลาดหุ้นในประเทศเริ่มกระเตื้องขึ้น จึงมีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนในตราสารทุนในประเทศเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 32.4% โดยมีผลตอบแทนของการลงทุนครึ่งปีแรก 2568 ที่ 4.1%

"รวมไปถึงจากการคาดการณ์ไว้แล้วว่าดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง ดังนั้นบริษัทฯ ก็ได้ปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ระดับสูงบริษัทได้ทำการล็อกผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งช่วยลดผลกระทบในช่วงดอกเบี้ยขาลงได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ปัจจุบันเราจึงไม่จำเป็นต้องเร่งลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น"

คุณวรางค์ กล่าวว่า สำหรับการขยายช่องทางการลงทุนใหม่ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยต่ำ บริษัทฯ หันไปบริหารพอร์ตการลงทุนในหุ้นต่างประเทศด้วยทีมงานของบริษัทฯเอง โดยลงทุนทางด้าน ไพรเวทอิควิตี้ (Private Equity) บริษัทเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในรูปแบบ Fund of Funds เพื่อเป็นการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจในสินทรัพย์ประเภทใหม่ โดยกำหนดวงเงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 2,000 ล้านบาท เป็นการทยอยลงทุนทีละเล็กทีละน้อย กอปรกับศึกษาแนวทางการลงทุนใหม่ ที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ด้วย เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมูลค่าพอร์ตลงทุนรวมของบริษัทฯสูงถึง 626,200 ล้านบาท ในแต่ละปีจะมีเงินลงทุนใหม่เข้ามาปีละ 10,000 ล้านบาท จึงต้องหาช่องทางการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อให้สอดรับกับการดูแลและคุ้มครองผู้เอาประกันภัยในระยะยาว

ในขณะเดียวกัน ในภาวะดอกเบี้ยขาลง ผู้เอาประกันยังให้ความสนใจในผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการด้านการออม เนื่องจากลูกค้ายังคงต้องการซื้อผลิตภัณฑ์แบบสะสมทรัพย์หรือแบบออมทรัพย์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน ดังนั้น ผลิตภัณฑ์สะสมทรัพย์ที่มีส่วนร่วมในเงินปันผลจึงเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับลูกค้าในช่วงเวลานี้ เพราะเมื่อตลาดฟื้นตัวลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์นี้จะได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องล็อกผลตอบแทนต่ำในช่วงดอกเบี้ยขาลง

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างสูงขณะนี้ คือ “ประกันสุขภาพ (Health Insurance)” ได้รับความสนใจจากลูกค้าทุกกลุ่ม ซึ่งยังมองเห็นโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ในกลุ่มข้าราชการที่จะมีการปรับนโยบายให้มีการร่วมจ่าย (Co-payment) ในส่วนของค่ารักษาพยาบาล จึงคิดว่ากลุ่มข้าราชการน่าจะหันมาซื้อประกันมากขึ้น เพราะยาบางตัวอาจเบิกไม่ได้ รวมไปถึงทิศทางช่วงปลายปีที่เป็นช่วงที่มีความต้องการการซื้อประกันชีวิตเพื่อลดหย่อนภาษี ทางบริษัทฯก็มีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ในช่วงไตรมาสสุดท้าย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ถึงแม้ว่าลูกค้าจะได้รับผลตอบแทนไม่เท่ากับปีที่ผ่านมาแต่เชื่อว่าผลิตภัณฑ์จะยังคงมีความน่าสนใจท่ามกลางสภาวะดอกเบี้ยในตลาดปัจจุบัน" คุณวรางค์ กล่าวสรุป

ประกันชีวิต ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP