WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันศุกร์ ที่ 5 ธันวาคม 2568 ติดต่อเรา
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขยับนิดเดียว โลกสะเทือน.!!

22 ตุลาคม 2568 : การจับตาทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กลับมาเป็นประเด็นสำคัญอีกครั้งในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 โดยการประชุมเฟดที่จะมีขึ้นในวันที่ 28–29 ตุลาคม และ 9–10 ธันวาคม 2568 นี้ ถูกคาดหมายว่าจะเป็นช่วงเวลาชี้ชะตาทิศทางนโยบายการเงินโลก หลังจากเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอตัวลงจากแรงกดดันของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ขณะที่เงินเฟ้อยังทรงตัวเหนือเป้าหมายในบางหมวด เฟดจึงเผชิญโจทย์สำคัญในการสร้างสมดุลระหว่าง “การคุมเงินเฟ้อ” และ “การหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ”

ด้านแรงสั่นสะเทือนจากทิศทางดอกเบี้ยเฟดไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสหรัฐฯเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียและตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่ต้องเผชิญแรงกดดันจากเงินทุนเคลื่อนย้าย ค่าเงินผันผวน และต้นทุนการกู้ยืมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากเฟดยังเลือกคงอัตราดอกเบี้ยสูงเป็นเวลานาน อาจทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง กดดันสกุลเงินของประเทศกำลังพัฒนา และเพิ่มความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินในหลายประเทศ

สำหรับประเทศไทย ผลกระทบจากทิศทางดอกเบี้ยเฟดยังคงมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจในระยะถัดไป ทั้งในมิติของค่าเงินบาท การส่งออก การลงทุน และการดำเนินนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หากเฟดเริ่มส่งสัญญาณ “ลดดอกเบี้ย” ในช่วงปลายปี อาจเป็นปัจจัยบวกต่อกระแสเงินทุนไหลเข้า การฟื้นตัวของตลาดหุ้น และภาคการบริโภคในประเทศ แต่หากเฟดยังคงท่าที “ดอกเบี้ยสูงนาน” เศรษฐกิจไทยและภูมิภาคอาเซียนอาจต้องเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงและความไม่แน่นอนของเงินทุนเคลื่อนย้ายทั่วโลก

ผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน นายศรชัย สุเนต์ตา รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า SCB CIO ได้แลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับ BlackRock ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก โดยประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.50% (50 bps) ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เป็นผลจากตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอ ขณะที่ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะถดถอย ส่วนภาษีนำเข้ายังส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯจำกัดในปีนี้ โดยผลกระทบจะชัดเจนมากขึ้นในปี 2569 ซึ่งในภาวะเช่นนี้จะช่วยสนับสนุนสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เรามีมุมมองเชิงบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Pro-Risk) รวมถึงตลาดหุ้น คาดว่าตลาดหุ้นจะปรับขึ้นในวงกว้าง

ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรม AI ที่เป็นหนึ่งในพลังการขับเคลื่อนมหาศาล (Mega Forces) จากการช่วยเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ โดย BlackRock คาดว่า จะสามารถเติบโตได้อย่างน้อย 15% ต่อปี ในระยะ 5 ปีข้างหน้า จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนผลตอบแทนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังเป็นแรงขับเคลื่อนผลตอบแทนของตลาดหุ้นนอกสหรัฐฯ ด้วย เช่น จีน ที่มีการพัฒนาระบบ AI ecosystem มากขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา ผลตอบแทนของตลาดหุ้นนอกสหรัฐฯส่วนใหญ่ ยังมาจากการเพิ่มขึ้นของ Valuation มากกว่าปัจจัยพื้นฐานด้านกำไร

“SCB CIO มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีน จากการเติบโตต่อเนื่องของ AI ecosystem ในจีน หลัง DeepSeek เปิดตัวโมเดลใหม่ DeepSeek V3.2-Exp ส่วนผู้ผลิตชิปต่างๆ เช่น Cambricon และ Huawei เปิดเผยว่า ระบบได้ปรับให้รองรับโมเดลใหม่แล้ว ซึ่งความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตชิปและผู้พัฒนาโมเดลของจีน จะช่วยเร่งวงจรนวัตกรรม ทำให้สามารถใช้ศักยภาพชิปได้เต็มที่ ช่วยขับเคลื่อนความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ที่เกี่ยวกับ AI ในจีนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ BlackRock ถึงแม้จะยังมีมุมมอง Neutral ต่อตลาดหุ้นจีน แต่มีมุมมองเชิงบวกกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนจากValuationของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนที่ยังต่ำกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ” นายศรชัย กล่าว

ในส่วนของญี่ปุ่นที่เพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) เป็น Takaichi ซึ่งมีโอกาสจะได้ขื้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่นนั้น มีแนวโน้มจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และดำเนินนโยบายการคลังที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อสนับสนุนครัวเรือนที่เผชิญภาวะเงินเฟ้อสูง และเยียวยาภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากข้อพิพาทการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่ง SCB CIO มองว่า นโยบายของว่าที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนใหม่ บวกกับ เงินเยนที่มีแนวโน้มอ่อนค่า จะส่งให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากนโยบาย ได้แก่ กลาโหม, AI และเซมิคอนดักเตอร์ ท่ามกลางความเสี่ยงทางการเมืองที่ยังอยู่ในระดับจำกัด

จากปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ SCB CIO แนะนำลงทุนระยะยาวบนพอร์ตหลัก ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น และ ตลาดหุ้นจีน All Shares โดยเศรษฐกิจได้แรงหนุนทั้งจากการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed การดำเนินนโยบายการคลังเชิงรุกควบคู่กับนโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของผู้นำคนใหม่ในญี่ปุ่น และแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของทางการจีน ในการประชุม 4th Plenum ส่งผลให้ตลาดหุ้นมีแนวโน้มได้แรงหนุนจากกำไรของบริษัทจดทะเบียน (EPS) ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับธีม AI นอกจากนี้ สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถเพิ่มโอกาสการลงทุนระยะสั้นบนพอร์ตเสริม แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq 100) รวมทั้ง ตลาดหุ้นจีน A-share

สำหรับตลาดตราสารหนี้นั้น ประเด็นความกังวลด้านปัญหาขาดดุลการคลัง และสัดส่วนหนี้รัฐบาลต่อ GDP ที่อยู่สูงในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เผชิญแรงกดดันอีกครั้ง ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองฝรั่งเศส ส่งผลให้ผลตอบแทนส่วนเพิ่มเพื่อชดเชยความเสี่ยงจากการถือตราสารหนี้ระยะยาว (Term premium) เพิ่มสูงขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 30 ปี ของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และอังกฤษ ต่างพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ทั้งนี้ SCB CIO แนะนำให้เน้นลงทุนในพันธบัตรของสหรัฐฯ และหุ้นกู้เอกชนคุณภาพสูงระยะสั้นของสหรัฐฯ

การเงิน ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP