30 มีนาคม 2560 : ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. บัตรกรุงไทย” ที่ “A+” และจัดอันดับ เครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่วงเงินไม่เกิน 15,000 ล้านบาท ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “Stable”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทริสเรทติ้ง ยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ที่ระดับ “A+” ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 15,000 ล้านบาท อายุไม่เกิน 10 ปีของบริษัทที่ระดับ “A+” ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่”

ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงการยกระดับจากอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทในฐานะเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่วนอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทก็ได้รับการสนับสนุนจากผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพของบริษัทด้วยเช่นกันซึ่งส่งผลทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากสภาพการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในอุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่ออุปโภคและบริโภคท่ามกลางภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพเครดิตและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาด ตลอดจนคุณภาพสินทรัพย์ และอัตราส่วนโครงสร้างเงินทุน ณ ระดับปัจจุบันเอาไว้ได้ภายใต้มาตรฐานการจัดเก็บและติดตามหนี้สินและการปล่อยสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าธนาคารกรุงไทยจะยังคงให้การสนับสนุนแก่บริษัททั้งในด้านการเงินและการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย
การปรับเพิ่มขึ้นของอันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้ หากบริษัทมีผลประกอบการทางเงินที่ดีกว่าที่คาดไว้ซึ่งสามารถสร้างความแข็งแกร่งโดยรวมทางด้านการเงินให้เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายทางด้านเครดิตท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอและความท้าทายจากแรงกดดันทางด้านการแข่งขันในอุตสาหกรรมสินเชื่อเพื่อการอุปโภคและบริโภค ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิต หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้หากเกิดปัจจัยที่จะกระทบต่อธุรกิจและผลประกอบการทางการเงินโดยรวมของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เช่น คุณภาพสินทรัพย์ที่ถดถอยลง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้น่าจะไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ทั้งนี้ ระดับของการให้การสนับสนุนจากธนาคารกรุงไทยหรือสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของธนาคารกรุงไทยที่เปลี่ยนแปลงไปก็จะมีผลกระทบต่ออันดับเครดิต หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทได้เช่นกัน
บริษัทบัตรกรุงไทยมีธนาคารกรุงไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 49.45% โดยบริษัทได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมากจากธนาคารแม่ กล่าวคือ การเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มธนาคารกรุงไทยทำให้บริษัทมีความร่วมมือด้านกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สอดคล้องกับเครือธนาคารกรุงไทย โดยบริษัทยังคงใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสาขาของธนาคารกรุงไทยที่มีอยู่ทั่วประเทศในการขยายฐานลูกค้า รวมถึงเป็นช่องทางการชำระเงินและให้บริการด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการสนับสนุนทางด้านเงินทุนอย่างต่อเนื่องจากธนาคารอีกด้วยเช่นกัน การสนับสนุนดังกล่าวช่วยเสริมสร้างสถานะที่สำคัญของบริษัทภายในเครือธนาคารกรุงไทยซึ่งสะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่เพิ่มขึ้นที่บริษัทจะได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษจากธนาคารกรุงไทยเมื่อบริษัทร้องขอ
บริษัทมุ่งเน้นด้านการตลาดเชิงรุกในช่วงหลายปีที่ผ่าน ซึ่งทำให้บริษัทสามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาด 12% ของสินเชื่อบัตรเครดิต และ 6% ของสินเชื่อส่วนบุคคลรวมในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยขยายตัว 13% และสูงกว่าอุตสาหกรรมที่ระดับ 7% ในปี 2559 ในส่วนของเงินให้สินเชื่อรวมของบริษัทก็เติบโตอย่างรวดเร็วจาก 48,080 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2555 เป็น 68,697 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตสะสมโดยเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 9%
การบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตที่รัดกุมและระบบการจัดเก็บหนี้ที่มีประสิทธิภาพช่วยทำให้บริษัทมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีโดยจะเห็นได้จากการที่บริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนสินเชื่อค้างชำระของบัตรเครดิต (เกิน 90 วัน) ต่อสินเชื่อบัตรเครดิตรวมให้อยู่ที่ระดับ 1.2% ได้ ณ สิ้นปี 2559 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 2.9% เช่นเดียวกันกับสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งบริษัทรายงานอัตราส่วนสินเชื่อค้างชำระของสินเชื่อส่วนบุคคล (เกิน 90 วัน) ต่อสินเชื่อส่วนบุคคลรวมที่ระดับ 0.9% ณ สิ้นปี 2559 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 3.1%
บริษัทมีนโยบายการตั้งสำรองที่เข้มงวดโดยกำหนดอัตราค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อรวมไว้ที่ระดับ 7.9% ณ สิ้นปี 2559 ซึ่งส่งผลให้สัดส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อค้างชำระ (เกิน 90 วัน) เพิ่มขึ้นเป็น 473% ณ สิ้นปี 2559 ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงพอที่จะทำให้บริษัทสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนในทางลบจากสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ![]()












