22 มกราคม 2562 : โค้งสุดท้ายมาตรการ LTF หรือกองทุนหุ้นระยะยาว ที่จะจบลงในสิ้นปี 2562 นี้ นอกจากหลายคนจะไม่ได้สิทธิทางภาษีสำหรับลดหย่อนแล้ว หลายคนยังมองว่า หากเลิกกองทุน LTF จะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนออกจากตลาดหุ้นไทยเช่นกัน เพราะสิทธิทางภาษีนี่แหละ ทำให้เม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นโตวันโตคืน
จากคนที่ไม่กล้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย แต่ต้องนำเงินมาลงทุนเพื่อรับสิทธิทภาษีนี้ ทำให้เกิดอาการใจกล้า ขนเงินมาลงทุนผ่านกองทุนดังกล่าวตามเงื่อนไขในการรับสิทธิ เฉลี่ยเม็ดเงินลงทุนที่ลงทุนใน LTF ปีละ 20,000-30,000 ล้านบาท และหากไม่มีกองทุนนี้เงินที่เคยเข้าตลาดปีละ20,000-30,000 ล้านบาทก็จะหายไปด้วย ทำให้นักลงทุนกังวลกับเอ็กเฟกดังกล่าวพอสมควร

แต่ทำไงได้ “งานเลี้ยงยอมมีวันเลิกราเสมอ” อีกอย่างหลายคนมองว่า LTF เป็นการเอื้อเฉพาะคนรวย ซึ่งหากมองในมุมแคบก็จะคิดแบบนั้น แต่หากมองแบบใจกว้างอีกนิด จะเป็นว่า LTF ทำให้คนหันมาออมเงินผ่านกองทุนมากขึ้น ทำให้มูลค่าเม็ดเงินลงทุนของตลาดหุ้นไทยโตขึ้นต่อเนื่อง จากเดิมที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ทำให้คนที่ไม่กล้าลงทุนได้เรียนรู้การลงทุนในตลาดทุนและกล้าลงทุนมากขึ้น เห็นไหมว่าข้อดีมีมากมายหากมองในมุมกว้างๆ แต่อย่างที่กล่าว “งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราเสมอ”
แล้วที่หลายคนกังวลว่า เงิน LTF หายออกจากตลาดหุ้นไทย จะส่งกระทบกับตลาดหุ้ยไทยแค่ไหน ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงาน Global Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจว่า สำหรับโค้งสุดท้ายของมาตรการกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ที่สามารถใช้ได้ปีนี้นั้น มองว่า การบริโภคของกลุ่มผู้ซื้อ LTF อาจลดลง 2.4% เทียบกับกรณีที่ยังมี LTF
ทั้งนี้ หากไม่มีมาตรการใดมาทดแทน LTF จะทำให้เงินที่ผู้เสียภาษีจะได้รับหายไปอย่างน้อย 12,000 ล้านบาทต่อปี ตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งประเมินว่ารายได้รวมของผู้ซื้อ LTF ทั้งหมด ซึ่งมีอายุเฉลี่ยที่ 48 ปี อยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 4.8 แสนล้านบาทต่อปี การที่กลุ่มคนเหล่านี้ต้องจ่ายภาษีมากขึ้นปีละราว 12,000 ล้านบาทจนเกษียณอายุ
จะทำให้ Lifetime After-Tax Income หายไปประมาณ 2.4 % ซึ่งในกรณีที่คนกลุ่มนี้มีพฤติกรรมการบริโภคตามทฤษฎี Permanent Incme Hypothesis มีโอกาสที่การบริโภคจะลดลงตั้งแต่ปี 2562 ที่อัตรา 2.4% เช่นกัน
ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนโดยรวม มองว่า จะกระทบอย่างมากแค่ 0.06% เท่านั้น เนื่องจากผู้ซื้อ LTF มีเพียง 2.8 แสนคน แม้ว่าการบริโภคของคนกลุ่มนี้ปรับลดลง 2.4% แต่ก็กระทบการบริโภครวมเพียงประมาณ 4.8 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 0.06% ของการบริโภคภาคเอกชนเท่านั้น ซึ่งในปี 2560 มีมูลค่าประมาณ 7 ล้านล้านบาท และหากมีมาตรการทดแทนอย่างที่สภาธุรกจตลาดทุนไทยเสนอ ก็จะทำให้การบริโภคในปีนี้ ลดลงอย่างมากแค่ 0.01% เท่านั้น
“เม็ดเงิน LTF ปัจจุบันมีขนาดรวมกันทั้งอุตสาหกรรมประมาณ 3.8 แสนล้านบาท หากเทียบกับขนาดของตลาดหลักทรัพย์ฯที่ประมาณ 16 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 2.36% หากดูตัวเลขแม้ไม่ได้มากเทียบกับเม็ดเงินจากฝั่งสถาบันเอง หรือขนาดของตลาดฯ เช่นเดียวกับยอดซื้อที่ในช่วงปี 2558-2560 ตลาดมียอดซื้อ LTF สุทธิปีละประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท โดยมียอดซื้อเฉลี่ยประมาณ 6 หมื่นล้านบาทต่อปี เมื่อเทียบกับยอดซื้อของสถาบัน คิดเป็นขนาดแค่ 1.8% เท่านั้น
นอกจากนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการซื้อขายสุทธิ LTF ในแต่ละไตรมาสก็ไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกับการเคลื่อนไหวของลาดเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ทำให้รู้ว่ายอดซื้อ LTF ไม่ได้มีผลต่อตลาดหุ้นไทย แต่ในอนาคตหากยกเลิกกองทุน LTF เข้ามาประมาณปีละ 2.3หมื่นล้านบาท จะหายไป และทยอยรบอายุในอนาคตในอีก 5-7 ปีข้างหน้าประมาณปีละ 5 หมื่นล้านบาท เป็นเรื่องที่น่าติดตามต่อไป” ดร.พชรพจน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อปี 2563 ไม่มี LTF แล้ว เราก็ไม่ควรหยุดการออม เพราะไทยเข้าสู่ผู้สูงวัย การเตรียมความพร้อมทางด้านการเงิน จะเป็นการรองรับวัยเกษียณได้อย่างมีความสุข และการออมเงินมีหลายรูปแบบ แต่หากไม่มีเวลาหรือไม่เข้าใจการลงทุนผ่านตลาดทุน กองทุนรวม ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเสมอ ![]()












