WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันเสาร์ ที่ 6 ธันวาคม 2568 ติดต่อเรา
แบงก์ธนชาตปิดดีลแบงก์ทีเอ็มบี… ควบรวมกิจการเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 62 นี้ !!!

27 กุมภาพันธ์ 2562 : การแถลงข่าวการลงนามในบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย(Non+binding MOU)ระหว่าง ING Groep N.V.[ING] ,บมจ.ทุนธนชาต(TCAP),ธนาคารธนชาต (TBANK) และธนาคารทหารไทย (TMB) โดยมี นายจุมพล ริมสาคร รองปลัดกระทรวงการคลังในฐานะตัวแทนประธานกรรมการ TMB, นาย Philippe G.J.E.O Damas ประธานกรรมการบริหาร TMB นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร TCAP, นาย Mark Newman Head of Challengers & Growth Markets Asia ผู้แทนจาก ING , นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TCAP ,นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TMB และนายประพันธ์ อนุพงษ์องอาจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ TBANK ร่วมงาน

นายจุมพล ริมสาคร กล่าวว่า กระทรวงการคลังยืนยัน มีความพร้อมที่จะถือหุ้นและยังเป็นผู้ถือหุ้นของธนาคารต่อไป ส่วนแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้นั้น ทางคลังมีความพร้อมอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือความคุ้มค่าในการนำเงินไปลงทุนให้เกิดประโยชน์กับภาพรวมอย่างไร และทำให้ระบบโดยรวมมีความแข็งแกร่งขึ้น และมั่นใจว่าดีลนี้ น่าจะเสร็จสิ้นทันภายในสิ้นปีนี้ เพราะจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของระบบการเงินของประเทศ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และเป็นแนวทางที่ทางการให้การสนับสนุนอยู่แล้ว

นาย Mark Newman Head of Challengers & Growth Markets Asia ผู้แทนของ ING กล่าวว่า การควบรวมดังกล่าว เป็นเวลาที่เหมาะสมในการขับเคลื่อนธนาคารไปข้างหน้า ซึ่งเป็นผลดีต่อธนาคารและระบบโดยรวมต่อไป และไอเอ็นจีให้พันธสัญญาในการเป็นผูถือหุ้นหลักในสัดส่วนที่มากกว่า 20% ต่อไป

“ไอเอ็นจีลงทุนในทีเอ็มบีมากกว่า 10 ปี และมองไปข้างหน้าก็ยังเห็นถึงศักยภาพ ซึ่งที่ผ่านมาสิ่งที่ไอเอ็นจีสนับสนุนทีเอ็มบีเป็นเรื่องของดิจิทัลแบงก์กิ้ง การนำข้อมูลมาวิเคราะห์ประยุกต์ใช้ ซึ่งมองภาพรวมธนาคารพาณิชย์ไทยแล้วเชื่อว่ามีโอกาสที่จะเดินหน้าต่อไปได้โดยเฉพาะด้านดิจิทัลแบงก์กิ้ง”

นายปิติ ตันฑเกษม CEO ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้คือการทำดีล ดิลิเจนท์ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 2-3 เดือน เพื่อให้มีข้อสรุปสุดท้าย และเมื่อมีผลที่ยุติได้ร่วมกัน ก็จะต้องขออนุมัติต่อผู้ถือหุ้น เพื่อเพิ่มทุนจากคลังและไอเอ็นจี และสุดท้ายจึงจะถึงกระบวนการควบรวม-โอนหุ้น ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นในปลายปีนี้ โ

ซึ่งภายหลังจากควบรวมกันแล้วจะทำให้ฐานลูกค้ารวมมี 10 ล้านราย เป็นลูกค้ารีเทล ในส่วนของทีเอ็มบีมีลูกค้าแอ็คทีฟประมาณ 3 ล้านราย และลูกค้าโมบายแบงกิ้งมีประมาณ 1.5 ล้านราย แอ็คทีฟ 50% เมื่อรวมกันแล้วมีสินทรัพย์เกือบ 2 ล้านล้านบาท เป็นอันดับ 6 ของระบบ มีกระทรวงการคลัง ไอเอ็นจี และทุนธนชาตเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนรายละประมาณ 20%

ส่วนการจัดหาทุนนั้น จากวงเงิน 130,000-140,000 ล้านบาทนั้น จะไม่ได้มาจากการเพิ่มทุน เนื่องจากธนาคารเองก็มีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่ในระดับหนึ่ง โดยจะเงินจากทุนใหม่ 70% โดยเงินเพิ่มทุน 50,000-55,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งจะเป็นหุ้นเพิ่มทุนให้กับทุนธนชาตและโนวาสโกเทีย ส่วนอีก 40,000-45,000 ล้านบาทจะมาจากกระทรวงการคลัง และไอเอ็นจี รวมถึงก็จะส่วนที่ให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อย และ Private Investment

นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร TCAP กล่าวว่า ในส่วนของทุนธนชาต ตามโครงสร้างใหม่แล้วจะถือหุ้นในสัดส่วนมากกว่า 20% รองจากกระทรวงการคลัง และไอเอ็นจี ขณะที่สัดส่วนของแบงก์ ออฟ โนวาสโกเทียจะลดลงจากเดิมที่ทุนธนชาตถือหุ้นธนชาตที่ 51% โนวาสโกเทียถือ 49% ส่วนการบริหารจัดการบริษัทในเครือนั้น ก่อนการรวมกิจการ ได้มีการพิจารณาว่าเมื่อมีการลงนามในสัญญาหลัก (Definitive Agreement) TBANK จะดำเนินการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ

โดยจะเสนอขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยและเงินลงทุนอื่น ทั้งในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมิได้เป็นบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้มีความเหมาะสมกับจุดประสงค์ของการรวมกิจการ โดยคาดว่า บริษัท หลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัทบริหารสินทรัพย์ ที เอส จำกัด และ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) รวมถึงเงินลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปทุมไรซ์มิล แอนด์ แกรนารี จำกัด (มหาชน) และเงินลงทุนในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์บางบริษัทจะถูกเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นปัจจุบัน ซึ่งได้แก่ ทุนธนชาต และ/หรือ BNS และ/หรือ ผู้ถือหุ้นรายย่อย

“TCAP สนับสนุนแผนการรวมกิจการในครั้งนี้ เพราะทำให้ธนาคารหลังการรวมกิจการมีศักยภาพมากขึ้น มีเงินทุนมากเพียงพอ มีช่องทางการให้บริการที่เพิ่มขึ้นมากเป็นเท่าตัว ธนาคารธนชาตเองในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการให้บริการสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ เป็นผู้นำอันดับ 1 ของตลาด เมื่อรวมกับ TMB ที่มีจุดเด่นในการระดมเงินฝาก จะทำให้ธนาคารหลังรวมกิจการมีต้นทุนการทำธุรกิจที่สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น มีศักยภาพในการสนับสนุนลูกค้าได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อ ลูกค้า คู่ค้า พนักงาน และผู้ถือหุ้นแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมธนาคารไทย และระบบเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย เรียกได้ว่าก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้มีส่วนร่วมทุกฝ่าย”

ทั้งนี้ ปัจจุบันธนาคารธนชาตมีสาขา 512 สาขา จำนวนพนักงาน 12,000 คน จำนวนผู้ใช้แอพพลิเคชั่นเกือบ 1 ล้านราย ขณะที่ธนาคารทหารไทยมีสาขาประมาณ 400 สาขา จำนวนพนักงานประมาณ 8,000 คน และจำนวนผู้ใช้แอพพลิเคชั่นประมาณ 1,500, 000 ราย ซึ่งในขณะนี้ทั้งในส่วนของผู้บริหารและพนักงานของธนาคารทั้ง 2 แห่งยังทำงานปกติ รวมถึงลูกค้าของธนาคารขอให้มั่นใจในการทำธุรกรรมได้ตามปกติ

นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TCAP กล่าวว่า “เราเชื่อมั่นว่า ทีมผู้บริหารของทั้ง 2 ธนาคาร จะทำให้การรวมกิจการครั้งนี้สำเร็จไปด้วยดีด้วยการผนึกกำลังความเชี่ยวชาญชำนาญของทรัพยากรบุคคลเข้ากับจุดแข็งที่มีอยู่ของทั้ง 2 ธนาคาร นำมาสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับธนาคาร ลูกค้า พนักงาน และผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ เรายังเล็งเห็นถึงประโยชน์และผลตอบแทนที่จะได้รับจากการเป็นผู้ถือหุ้นในธนาคารที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีศักยภาพในการเติบโตมากขึ้นในอนาคต ซึ่งจะช่วยเสริมความเป็นFinancial Holding Company ชั้นนำของไทยให้กับ TCAP อีกด้วย

ในขณะเดียวกันการรวมกิจการก็จะทำให้มูลค่าตลาดรวมของหลักทรัพย์ (Market Capitalization) เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว เป็นหลักทรัพย์ที่ขนาดใหญ่ขึ้นและมีสภาพคล่อง ถือเป็นเรื่องดีต่อผู้ถือหุ้นและเพิ่มความน่าสนใจให้กับนักลงทุนทั่วไป

ในด้านทรัพยากรบุคคลนั้น เราเล็งเห็นว่า การรวมกันจะยิ่งทำให้พนักงานของทั้ง 2 ธนาคารได้รับโอกาสมากกว่าเดิมจากความท้าทายใหม่ๆ เพราะธนาคารจะมีฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้น มีผลิตภัณฑ์และบริการที่ครบวงจรมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานของทั้ง 2 ธนาคาร จึงมั่นใจได้ว่าพนักงานจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม”

ในขั้นตอนต่อไปที่คู่สัญญาคาดว่าจะเริ่มโดยทันทีนั้นได้แก่ การตรวจสอบสถานะการเงิน (Due Diligence) และเตรียมการเจรจาตกลงเกี่ยวกับสัญญาหลัก (Definitive Agreement) ซึ่งเงื่อนไขหลักที่เกี่ยวข้องจะรวมถึงการได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง การได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้น การได้รับความยินยอมจากบุคคลที่สาม การปรับโครงสร้างทางธุรกิจของ TBANK ความสำเร็จในการเพิ่มทุนด้วยจำนวนที่เพียงพอต่อการเข้าทำรายการของ TMB โดยคาดว่าการรวมกิจการจะแล้วเสร็จภายในปี 2562 นี้

ทั้งนี้ ก่อนการรวมกิจการ ได้มีการพิจารณาว่าเมื่อมีการลงนามในสัญญาหลัก (Definitive Agreement) TBANK จะดำเนินการปรับโครงสร้างทางธุรกิจโดยจะเสนอขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยและเงินลงทุนอื่น ทั้งในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และมิได้เป็นบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้มีความเหมาะสมกับจุดประสงค์ของการรวมกิจการ

โดยคาดว่า บริษัท หลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัทบริหารสินทรัพย์ ที เอส จำกัด และ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) รวมถึงเงินลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปทุมไรซ์มิล แอนด์ แกรนารี จำกัด (มหาชน) และเงินลงทุนในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์บางบริษัทจะถูกเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นปัจจุบัน ซึ่งได้แก่ ทุนธนชาต และ/หรือ BNS และ/หรือ ผู้ถือหุ้นรายย่อย

การเงิน ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP