4 กรกฎาคม 2565 : ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงรวมลิตรละ 5 บาท เพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันและข้าวของแพง อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะประกาศลดภาษีสรรพสามิตลง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันหน้าปั๊มลดลงแต่อย่างใด
ล่าสุด ข้อมูลจากเวทีเสวนา ‘แนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำมันแพงของรัฐ เรามาถูกทางหรือยัง’ จัดโดยสภาองค์กรของผู้บริโภค พบว่า สาเหตุของปัญหาน้ำมันแพงในปัจจุบัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับค่าการกลั่น การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น โดยให้อ้างอิงราคาจากตลาดประเทศสิงคโปร์ รวมไปถึงการกำหนดนโยบายของรัฐ ส่งผลให้ประชาชนต้องใช้น้ำมันในราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็น
ทั้งนี้ ทางออกของปัญหาน้ำมันแพงที่ถูกหยิบยกขึ้นมานำเสนอ มีทั้งการกำหนดเพดานอัตรากำไร การเก็บภาษีลาภลอย การแก้ไข้กฎหมายเกี่ยวกับคุณสมบัติข้าราชการในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจ ไปจนถึงทางออกในระยะยาวอย่างการเปลี่ยนผ่านจากปิโตรเลียมไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า สำหรับสาเหตุของน้ำมันแพงที่ถูกพูดถึงในเวทีเสวนา มีทั้งปัจจัยด้านต้นทุน โครงสร้างราคาน้ำมัน รวมไปถึงลักษณะการแข่งขันของตลาดพลังงานในประเทศไทยด้วย ในสถานการณ์ปัจจุบัน ‘ค่าการกลั่น’ เป็นปัจจัยที่หลักที่ทำให้ผู้บริโภคต้องใช้น้ำมันในราคาที่ไม่เป็นธรรม
โดย ผศ.ประสาท มีแต้ม ประธานอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค อธิบายเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า ค่าการกลั่น คือ ส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นลบด้วยต้นทุนค่าน้ำมันดิบจากการศึกษาข้อมูลค่าการกลั่นย้อนหลัง 10 ปี (ปี 2555 – 2565) ควบคู่ไปกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก พบว่า ค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ไม่เกิน 2 บาทต่อลิตร หรือเกินมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ประมาณ 100 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ขณะที่ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 110 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เห็นได้ว่าราคาน้ำมันดิบไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่เมื่อรัฐบาลปรับลดภาษีสรรพสามิตลง ค่าการกลั่นกลับปรับเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 3 เท่า
“ในระยะเวลา 4 เดือน ค่าการกลั่นถูกปรับเพิ่มขึ้นถึง 4.77 บาทต่อลิตร คือเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ค่าการกลั่นอยู่ที่ 1.58 บาทต่อลิตร แต่ข้อมูลเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2565 พบว่าค่าการกลั่นดีดตัวขึ้นมาอยู่ที่ 6.55 บาทต่อลิตร และมีแนวโน้มว่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอีก” ผศ.ประสาท กล่าว
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะยาว มองว่า การเปลี่ยนผ่านจากการใช้ ‘ปิโตรเลียม’ มาใช้ ‘พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานสะอาด’ โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ หรือที่เราเรียกกันว่า ‘โซลาร์เซลล์’ น่าจะเป็นทางออกจากปัญหาวิกฤติพลังงานแพงในครั้งนี้ ปัจจุบันประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปจำนวนมากเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ตัวอย่างเช่น ประชากรในประเทศนอรเวย์ที่ซื้อรถใหม่กว่า 80% เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐฯ ใช้เวลา 19 ปี ในการเปลี่ยนผ่านมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งในปัจจุบันมีมากกว่า 4 ล้านหลังคาเรือนที่ติดตั้งระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์
ทั้งนี้ สภาองค์กรของผู้ของผู้บริโภคจึงได้ยื่นข้อเสนอถึงคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา โดยมีข้อเสนอทั้งสิ้น 4 ข้อ ดังนี้ 1.ขอให้กระทรวงพลังงานเร่งกำหนดมาตรการเพื่อควบคุมค่าการกลั่นน้ำมันให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค 2.ขอให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงพาณิชย์ ควบคุมค่าการตลาดให้เป็นธรรม 3.ขอให้กระทรวงพลังงานทบทวนวิธีการกำหนดราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นในประเทศ และ 4. ขอให้กระทรวงการคลังเก็บภาษี “ลาภลอย (windfall tax)” จากกิจการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
ขณะที่ทางด้าน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ฉายภาพเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า ภาพใหญ่ของตลาดพลังงาน แบ่งเป็น 3 ประเด็นใหญ่ คือ 1.ตลาดพลังงานในประเทศไทยการแข่งขันของตลาดพลังงานในประเทศไทยไม่ใช่ตลาดเสรีอย่างแท้จริง และไม่มีทางเปลี่ยนเป็นตลาดที่แข่งขันอย่างเสรีได้ เนื่องจากมีผู้แข่งขันในตลาดบางรายมีส่วนแบ่งการตลาดค่อนข้างมาก และมีกิจการที่ครอบคลุมเกือบทั้งกระบวนการของธุรกิจพลังงาน จึงเป็นเรื่องยากที่เจ้าอื่นๆ จะเข้าไปแข่งขันอย่างเสรีและเท่าเทียม
2. การผูกขาดบวกกับการกำหนดนโยบายจากภาครัฐนำมาซึ่ง ‘กำไรที่สูงเกินปกติอย่างถาวร’ และ 3.ความผันผวนในตลาดโลก ทำให้เกิด ‘กำไรที่สูงเกินปกติชั่วคราว’ ดังเช่นกรณีค่าการกลั่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาน้ำมันแพง ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน กล่าวว่า รัฐบาลต้องควบคุมราคาค่าการกลั่น เนื่องจากโดยข้อเท็จจริงแล้วต้นทุนการกลั่นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง นั่นแปลว่า หากปกติค่าการกลั่นอยู่ที่ 1 เหรียญก็อยู่ได้ ปัจจุบันปรับขึ้นมาเป็น 10 เหรียญ ผู้ประกอบการก็จะได้กำไรมหาศาล โดยมีข้าราชการที่เป็นกรรมการในธุรกิจโรงกลั่นได้รับประโยชน์ด้วย นอกจากเรื่องค่าการกลั่นแล้ว มองว่ารัฐต้องจัดการปัญหาเรื่อง ‘ความเกี่ยวข้องระหว่างข้าราชการกับภาคธุรกิจ’ อย่างเข้มงวด
“กลุ่มทุนพลังงานมีอัตราการเติบโตสูง และมีการยึดโยงกับการสวมหมวกหลายใบของข้าราชการ จึงอยากเสนอให้แก้ไข พ.ร.บ. คุณสมบัติข้าราชการในการเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจ และตัดขั้นตอนการนำข้าราชการมาเป็นกรรมการบริหารรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทพลังงานต่าง ๆ” ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าว
ในทำนองเดียวกัน นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล มองว่า ควรกำหนดเพดานอัตรากำไร (Profit Ceiling) โดยรัฐบาลต้องทำ คือ กำหนดน้ำมันสำเร็จรูป และก๊าซหุงต้ม รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากกระบวนการผลิตน้ำมันต่างๆ โดยตั้งราคาขายส่ง ว่าสามารถบวกค่าการกลั่นได้ไม่เกินกี่บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกสามารถบวกค่าการตลาดได้ไม่เกินกี่บาทต่อลิตร
ส่วนประเด็นการเก็บภาษีลาภลอยนั้น มองว่า จะส่งผลให้ประชาชนต้องจ่ายแพงไปก่อน แล้วรอประโยชน์จากภาษีที่รัฐจะจัดเก็บภายหลัง ซึ่งไม่แน่ว่าจะได้ประโยชน์กลับมาหรือไม่ นอกจากนี้ อาจจะส่งผลให้ข้าราชการที่เป็นคณะกรรมการบริหารในบริษัทต่างๆ ได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้นจากการจ่ายค่าตอบแทนให้สูงขึ้น เพื่อลดสัดส่วนกำไรในการจ่ายภาษีลาภลอยได้