8 มีนาคม 2566 : หลังจากมมีกระแสข่าวมีการยุบสภาเกิดขึ้น และมีการคาดการณ์กำหนดวันเลือกตั้งของไทยจจะเกิดขึ้นในเดือนพ.ค.2566 นี้ ด้านการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หรือ MST ได้ออกมาเผยมุมมองการเลือกตั้งรอบใหม่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย โดยกลุ่มสื่อสาร สื่อและสิ่งพิมพ์ ค้าปลีก และอาหาร จะปรับตัวขึ้นเด่นก่อนการเลือกตั้ง ทั้งนี้ บล.เมย์แบงก์ ในฐานะผู้นำด้านการลงทุน ถือหุ้นโดย เมย์แบงก์ ธนาคารอันดับ 1 ของมาเลเซีย ได้วิเคราะห์ปัจจัยการเลือกตั้งรอบใหม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างมาก

โดยตลาดหุ้นมีความคาดหวังเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น สถิติชี้ SET ปรับตัวขึ้นเด่น 3 เดือนก่อนวันเลือกตั้ง (Election Rally)ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย +3.4% และยังคงปรับขึ้นต่อเนื่อง 1 เดือนหลังการเลือกตั้ง ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย +5.3% มองหุ้นที่อิงกับการฟื้นตัวในประเทศมีโอกาสปรับตัวขึ้นเด่น ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร สื่อและสิ่งพิมพ์ ค้าปลีก และอาหาร
นักวิเคราะห์จากเมย์แบงก์ ประเมินโอกาสที่จะเกิดการยุบสภาในเดือนมีนาคม ก่อนสภาฯจะครบกำหนดวาระในวันที่ 23 มีนาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ สส. มีระยะเวลาในการย้ายพรรคได้ทัน รวมทั้งมีช่วงเวลาในการหาเสียงมากยิ่งขึ้น โดยคาดวันเลือกตั้งครั้งนี้จะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 ทั้งนี้ การเมืองถือเป็นประเด็นที่มีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนเป็นอย่างมาก
โดยตลาดหุ้นมักจะมีความคาดหวังเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงถัดไป หากพิจารณาสถิติย้อนหลังในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมาซึ่งมีการเลือกตั้งสำคัญ 5 ครั้ง (ปี 2544-2562) พบว่า SET ปรับตัวขึ้นเด่น 3 เดือนก่อนวันเลือกตั้ง (Election Rally) ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย +3.4% และยังคงปรับขึ้นต่อเนื่อง 1 เดือนหลังการเลือกตั้ง ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย +3.4% (โอกาสความน่าจะเป็น 60%) และภายหลังการเลือกตั้ง 1 เดือน พบว่า SET มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง +5.3% ท่ามกลางโอกาสความน่าจะเป็นที่ SET จะปรับตัวขึ้นต่อสูงถึง 80% หลังการเลือกตั้ง แต่อย่างไรก็ตามคงต้องพิจารณาถึงขั้วการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเป็นสำคัญ
หากพิจารณาในรายอุตสาหกรรมจะพบว่ากลุ่มที่อิงกับการฟื้นตัวในประเทศจะปรับตัวขึ้นเด่นในช่วงการเก็ง Election Rally ซึ่งก็สะท้อนถึงความคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายของภาครัฐฯที่จะไล่เรียงออกมาในช่วงถัดไป โดยจากสถิติพบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มักจะปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนการเลือกตั้งได้แก่ กลุ่มสื่อสาร, สื่อและสิ่งพิมพ์, ค้าปลีก และอาหาร โดยแนะนำหุ้นที่น่าสนใจ ดังนี้ ADVANC (เป้าหมาย 240 บาท) COM7 (เป้าหมาย 40.3 บาท) PLANB (เป้าหมาย 10.7 บาท) TU (เป้าหมาย 21.8 บาท)
สำหรับ 4 อุตสาหกรรม คาดปัจจัยบวกหนุนราคาขึ้น ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร การเติบโตเฉลี่ย CAGR 5 ปีของรายได้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของทั้งอุตสาหกรรมในช่วงปี 60-65 อยู่ที่ -0.3% เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนตัว หุ้นเด่นที่น่าสะสม : ADVANC, JMART
กลุ่มค้าปลีก มีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีกสำหรับปี 2566 จากแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของการบริโภคซึ่งจะถูกผลักดันจาก การเลือกตั้ง การเดินทางออกนอกบ้านมากขึ้น และจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น หุ้นเด่นที่น่าสะสม : COM7, CRC, CPALL, HMPRO
กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ คาดเติบโตดีขึ้นสอดคล้องกับการบริโภคที่ฟื้นตัว ผสานแรงหนุนเพิ่มเติมจากการเลือกตั้ง โดยเรายังคงเชื่อว่าปีนี้สื่อประเภท สื่อนอกบ้าน (Out of home media) ยังเป็นสื่อที่มีการเติบโตได้เด่นกว่าสื่อประเภทอื่น จากทั้งความต้องการที่สูงขึ้น หุ้นเด่นที่น่าสะสม : PLANB
กลุ่มอาหาร ยังมีแนวโน้มเติบโตจากการอุปโภคบริโภคที่ฟื้นตัว จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น แรงกดดันด้านเงินเฟ้อลดลง การส่งออกเพิ่มขึ้นจากการเปิดประเทศของหลายๆ ประเทศ และปัญหาด้านขนส่งเริ่มคลี่คลาย โดยยอดขายของกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มจะฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากการเปิดเมืองและมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ หุ้นเด่นที่น่าสะสม : TU, SNNP, SAPPE
ขณะที่องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ได้มีการประกาศ 7 วาระเพื่อเด็กสำหรับการเลือกตั้งในประเทศไทยที่กำลังจะมาถึง โดยเรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกพรรคและผู้มีอำนาจตัดสินใจมุ่งมั่นทำทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กทุกคนในประเทศไทยจะมีโอกาสที่เท่าเทียมในการมีชีวิตที่มีความสุข มีสุขภาพแข็งแรง เติบโตและประสบความสำเร็จในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
นางคยองซอน คิม ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับวาระทั้ง 7 ข้อนี้ ระบุอยู่ในเอกสาร 7 ข้อเรียกร้องจากยูนิเซฟสำหรับการเลือกตั้งในประเทศไทย ซึ่งมีข้อมูลเชิงวิเคราะห์พร้อมสถิติและข้อเสนอแนะในเรื่องต่างๆที่กำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของเด็กในประเทศไทย ได้แก่ การพัฒนาเด็กปฐมวัย การศึกษา นโยบายสังคม การพัฒนาวัยรุ่น เด็กพิการ ความปลอดภัยในโลกออนไลน์และการคุ้มครองเด็ก ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและการแก้ปัญหาอย่างจริงจังจากผู้กำหนดนโยบาย
โดยทั้ง 7 วาระแบ่งเป็นหัวข้อ ดังนี้ วาระที่ 1 บริการดูแลเด็กที่มีคุณภาพในราคาเข้าถึงได้สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีทุกคน วาระที่ 2 พลิกโฉมการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กให้มีสมรรถนะและทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 วาระที่ 3 เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถ้วนหน้า วาระที่ 4 พัฒนาศักยภาพของเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา การทำงาน หรือการฝึกอบรม (NEET) วาระที่ 5 บริการที่ครอบคลุมสำหรับเด็กพิการ วาระที่ 6 เสริมสร้างความปลอดภัยในโลกออนไลน์สำหรับเด็กวาระที่ 7 เพิ่มการลงทุนในการพัฒนากำลังคนด้านสังคมสงเคราะห์
ยูนิเซฟ ยังระบุอีกว่า การแก้ปัญหาเหล่านี้ถือเป็นเรื่องสำคัญและเร่งด่วนกว่าเดิมเนื่องจากประเทศไทยได้เข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุและมีอัตราการเกิดลดลงเรื่อย ๆ โดยอัตราการพึ่งพิงของประเทศไทยจะสูงเกินกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2588 นั่นหมายความว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนในการพัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างเร่งด่วน เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะมีทักษะและสรรพกำลังที่จำเป็นในการนำพาประเทศไปสู่การเป็นสังคมที่เจริญรุ่งเรือง ยั่งยืน สงบสุขและเท่าเทียมในอนาคต ![]()












