28 ธันวาคม 2566 : หลังจากที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ออกมาประกาศว่า ธปท.มีการสำรองเงินสดช่วงปีใหม่สูงถึง 8 หมื่นล้านบาท ตามมาด้วยการรายงานตัวเลขการสำรองเงินสดช่วงปีใหม่อย่างต่อเนื่องของแต่ละธนาคาร เพื่อให้มั่นใจว่าช่วงหยุดยาวปีใหม่ ประชาชนจะจับจ่ายใช้สอยแบบไม่มีสะดุด แม้ในโลกปัจจุบันการใช้จ่ายเงินผ่านระบบอิเลคทรอนิคส์มากขึ้นก็ตาม
โดย นายสมบูรณ์ จิตเป็นธม ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ซึ่งประชาชนมีความต้องการใช้ธนบัตรในระดับสูงกว่าปกตินั้น ธปท. ได้พิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจ มาตรการภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยประมาณการว่าธนาคารพาณิชย์จะมีการเบิกจ่ายธนบัตรจากธปท. ในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนเทศกาลปีใหม่ 2567 เป็นมูลค่าสุทธิประมาณ 80,000 ล้านบาท
แม้ว่าจะลดลงจากปีที่ผ่านมาและเป็นการลดลงต่อเนื่องมาหลายปี จากการขยายตัวของการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ามาทดแทนการชำระเงินด้วยเงินสด โดยเฉพาะมูลค่าสูง อย่างไรก็ตาม ธปท. ได้เตรียมสำรองธนบัตรชนิดราคาต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการไว้อย่างเพียงพอ
ทั้งนี้ ไม่ว่าธปท. ธนาคารพาณิชย์ และธนาคารเฉพาะกิจ จะมีการสำรองเงินสดเพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยปี 2567 แล้วก็ตาม แต่แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาลในช่วงต้นปี 2567 ก็ยังออกมารัวๆ โดยเฉพาะมาตรการ “Easy E-Receipt” ที่ประชาชนสามารถจับจ่ายใช้สอยพร้อมกับสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท
หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการ “Easy E-Receipt” เพื่อสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศในช่วงต้นปี 2567 ซึ่งจะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจในภาพรวมขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง โดยผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล) สามารถหักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการในราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท เฉพาะที่ได้รับ e-Tax Invoice หรือ e-Receipt เท่านั้น
ขณะที่ด้าน ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพากร มั่นใจว่า มาตรการ Easy E-Receipt จะช่วยสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศในช่วงต้นปี 2567 ซึ่งจะเป็นแรงส่งให้เศรษฐกิจในภาพรวมขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง คาดว่า จะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นประมาณ 70,000 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นประมาณ 0.18%
จากความมั่นใจดังกล่าว ถือว่าเป็นเรื่องดี คาดหวังว่า ประชาชนที่มีเงินรายและต้องเสียภาษี จะไม่พลาดสิทธิดีๆ แบบนี้ รวมไปถึงการวางแผนการออมระยะยาวผ่านกองทุนประหยัดภาษี ทั้งกองทุนรวมไทยเพื่อการออมระยะยาว (SSF) ที่ปี 2567 จะเป็นปีสุดท้ายที่นักลงทุนจะลงทุนและได้รับสิทธิทางภาษี นอกจากนี้ ยังมีกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนภาษีน้องใหม่ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG :TESG)
ขณะที่ ดร.กุลยา กล่าวย้ำอีกว่า กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญของการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ 391 (พ.ศ. 2566) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร เพื่อให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการ “Easy E-Receipt” โดยให้ผู้ซื้อสินค้าสังเกตร้านค้าทีมีสัญลักษณ์ Easy E-Receipt ควบคู่กับ e-Tax Invoice & e-Receipt ซึ่งมีหลักเกณฑ์ และเงื่อนไข ดังนี้
1.กรณีซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) พร้อมต้องระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลขประจำตัวประชาชน) ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการด้วย โดยค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการที่จะได้รับสิทธิฯ ไม่รวมถึง
- ค่าซื้อสุรา เบียร์ และไวน์
- ค่าซื้อยาสูบ
- ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ
- ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ
- ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ และค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต
- ค่าบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการและผู้รับบริการสามารถใช้บริการดังกล่าวนอกเหนือจากระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567
- ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย
2.กรณีการซื้อสินค้าหรือการรับบริการจากผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการที่ไม่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องมีใบรับตามมาตรา ๑๐๕ แห่งประมวลรัษฎากรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) พร้อมต้องระบุชื่อ นามสกุล และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลขประจำตัวประชาชน) ของผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการด้วย เฉพาะค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการดังต่อไปนี้
- ค่าซื้อหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร
- ค่าบริการหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
- ค่าซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งได้ลงทะเบียนกับ กรมการพัฒนาชุมชนแล้ว
3.ค่าซื้อสินค้าและค่าบริการตามข้อ 1 และ 2 เมื่อรวมกันแล้วสามารถหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท
หวังว่าปีใหม่ปีนี้ประชาชนและนักลงทุนไม่ใช้จ่ายจนเพลินจนลืมสิทธิภาษีผ่านมาตรการต่างๆ กันนะ