WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันศุกร์ ที่ 5 ธันวาคม 2568 ติดต่อเรา
นายกรัฐมนตรี “อนุทิน” วางหมากดึงโครงการ “คนละครึ่ง” กลับมาใช้…หวังกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก

8 กันยายน 2568 : ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่บทใหม่ของการบริหารภายใต้ นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทย “อนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งมาพร้อมกับนโยบายเร่งด่วนเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ และหนึ่งในมาตรการที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือการนำกลับมาปัดฝุ่นภายใต้โครงการ “คนละครึ่ง” เวอร์ชันใหม่ โดยมีคู่หูคนสำคัญ ในตำแหน่งว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” ลูกหม้อสายตรงจากวายุภักษ์ งานนี้ถูกมองว่าเป็นทีมที่มีศักยภาพไม่น้อยในการปลุกเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยให้กลับมาติดสปีดอีกครั้ง

แม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะเกิดขึ้นบนฐานสัญญาใจทางการเมือง เมื่อพรรคพลังประชาชนยกเสียงข้างมากพ้องเสียงให้ "อนุทิน" ก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกฯ กับระยะเวลาครองตำแหน่งเพียง 4 เดือน ก่อนนำไปสู่การยุบสภาและการเลือกตั้งใหม่ เบียด “ไพ่ใบสุดท้าย” ของพรรคเพื่อไทยอย่าง "ชัยเกษม นิติสิริ" ได้แบบไม่ต้องคาดเดา “ดีลสั้น” ดังกล่าวนี้หลายคนมองกันว่าอาจกลายเป็นหมากสำคัญที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของพรรคภูมิใจไทยไปตลอดกาล

“เกมหมากใหญ่” ของภูมิใจไทย

โอกาสในการนั่งเก้าอี้สูงสุดของประเทศ แม้มีอายุเพียง 4 เดือน แต่สำหรับพรรคภูมิใจไทย นี่คือช่วงเวลาทอง หากสามารถสร้างผลงานที่จับต้องได้โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นของประชาชนจะยิ่งเพิ่มขึ้น นำไปสู่แต้มต่อที่สำคัญในการเลือกตั้งครั้งหน้า และการต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเก้าอี้รัฐมนตรีต่างๆ ในอนาคต

“คนละครึ่ง” ทางเลือกที่ไม่ธรรมดา

ทั้งนี้ มาตรการ “คนละครึ่ง” ถูกมองว่าเป็น Quick Win ในการกระตุ้นการบริโภคแบบทั่วถึงและเข้าถึงง่าย ย้อนกลับไปในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โครงการนี้ถูกยกให้เป็นหนึ่งในนโยบายที่ “มาถูกทาง” ที่สุดในการเยียวยาเศรษฐกิจไทยจากผลกระทบโควิด-19 ด้วยการออกแบบที่ผ่านการวิเคราะห์อย่างละเอียดจากทีมเศรษฐกิจที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญและมุ่งหวังประโยชน์ต่อประชาชนจริงๆ ทำให้โครงการนี้ไม่เพียงซื้อใจคนไทย แต่ยังช่วยเหลือโดยตรงกับกลุ่มฐานรากและชนชั้นกลางที่เสียภาษี ได้ใช้เงินที่ตนเองสมทบคืนกลับมาอย่างคุ้มค่า

ทำไม “คนละครึ่ง” ถึงสำเร็จ?

เพราะหัวใจสำคัญคือ “ทุกคนชอบของถูก” การลดราคา 50% ในชีวิตประจำวันไม่ต่างจากการเห็นป้าย “Sale 50%” ที่ทำให้คนแห่เข้าร้าน จนคิวล้นทะลัก และเมื่อภาครัฐเข้ามาช่วยออกเงินครึ่งหนึ่ง ผู้บริโภคยิ่งยอมจ่ายอย่างเต็มใจ ร้านค้าที่เคยขายไม่ออกก็กลับมามียอดขาย พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยหาบเร่แผงลอยก็ได้อานิสงส์ รายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคก็รู้สึก “ใจฟู” กับการใช้จ่าย

บทเรียนจากโควิด-19

หากย้อนดูตัวเลขเศรษฐกิจ ปี 2563 จากรายงานของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เศรษฐกิจไทยหดตัวถึง 6.1% หนักหน่วงพอๆ กับวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวและการส่งออกที่ซบเซา ส่งผลให้แรงงานจำนวนมากถูกเลิกจ้าง รายได้ครัวเรือนลดลงอย่างชัดเจน ข้อมูลจาก สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ยังสะท้อนชัดว่า เศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 2563 หดตัว 2.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายปี 2562 ปัจจัยลบมาจากการค้าโลก รายได้การท่องเที่ยวที่หดหาย ภัยแล้ง รวมถึงมูลค่าการส่งออกที่ถดถอย

ผลลัพธ์ “คนละครึ่ง” ในยุค”ประยุทธ์”

เมื่อโครงการสิ้นสุดลง ผลที่ได้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เงินที่รัฐใส่ลงไปเกือบ 85,000 ล้านบาท กลายเป็นแรงหมุนเม็ดเงินในระบบกว่า 170,000 ล้านบาท และช่วยพยุง GDP ขึ้นได้ราว 0.5–0.7%

โครงการ “คนลดครึ่ง” ดำเนินการทั้งหมด 5 ระยะ (เฟส) ได้แก่

  • เฟส 1 (23 ต.ค. 2563) : 10 ล้านคน วงเงินคนละ 3,000 บาท
  • เฟส 2 (1 ม.ค. 2564) : เพิ่มผู้ใช้สิทธิ์ใหม่ 5 ล้านคน + เพิ่มวงเงินเป็น 3,500 + 500 บาท
  • เฟส 3 (1 ก.ค. 2564) : ผู้ใช้สิทธิ์รวม 31 ล้านคน วงเงินคนละ 4,500 บาท
  • เฟส 4 (1 ก.พ. 2565) : ผู้ใช้สิทธิ์ 26.27 ล้านคน วงเงินคนละ 1,200 บาท
  • เฟส 5 (1 ก.ย. 2565) : ผู้ใช้สิทธิ์ 24.02 ล้านคน วงเงินคนละ 800 บาท

ความคาดหวังในเวอร์ชันใหม่

แม้ข่าวการกลับมาของ “คนละครึ่ง” ภายใต้รัฐบาลอนุทินจะสร้างความตื่นเต้นและความหวังต่อเศรษฐกิจไทย แต่รายละเอียดสำคัญ เช่น วันเริ่มโครงการ วงเงินที่จะได้รับ และเงื่อนไขต่างๆ ยังคงต้องรอการยืนยันอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลชุดใหม่

สิ่งที่แน่นอน คือ หากมาตรการนี้ถูกนำกลับมาอีกครั้งอย่างเหมาะสม มันอาจไม่เพียงช่วยฟื้นกำลังซื้อของประชาชน แต่ยังเป็นหมากเกมการเมืองที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยก้าวขึ้นมาในฐานะผู้เล่นหลักบนกระดานการเมืองไทยอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ การกลับมาของ “คนละครึ่ง” ยังสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลชุดใหม่ในการใช้ “นโยบายที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ” มากกว่าการสร้างโครงการใหม่ที่เสี่ยงต่อการไม่ตอบโจทย์ ความเคลื่อนไหวเช่นนี้อาจช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและภาคธุรกิจว่า รัฐบาลพร้อมเดินเกมอย่างรอบคอบ ใช้บทเรียนจากอดีตมาประยุกต์เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมในอนาคต

ท้ายที่สุด ความสำเร็จของโครงการนี้ไม่ได้วัดจากตัวเลขเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึง “ความรู้สึกของประชาชน” ที่ได้สัมผัสว่ารัฐบาลยืนอยู่ข้างพวกเขาอย่างแท้จริง หากรัฐบาล "อนุทิน" สามารถทำให้ประชาชนรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในกระเป๋าสตางค์และคุณภาพชีวิต แม้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็อาจเพียงพอที่จะสร้างภาพจำทางการเมืองอันแข็งแกร่งให้กับพรรคภูมิใจไทยต่อไป

เศรษฐกิจ ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP