17 ตุลาคม 2568 : รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เดินหน้าโครงการ “คนละครึ่งพลัส” อย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2568 หลังจากเศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดันจากภาวะการฟื้นตัวที่ชะลอตัว และกำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง โครงการนี้เป็นการต่อยอดจากความสำเร็จของ “คนละครึ่ง” ในอดีต แต่ปรับรูปแบบให้ครอบคลุมและทันสมัยยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มวงเงินสนับสนุนจากภาครัฐ และขยายกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงได้กว้างขึ้น
การเดินหน้าโครงการ “คนละครึ่งพลัส” คาดว่าจะสร้างแรงกระตุ้นเชิงบวกให้กับเศรษฐกิจไทยในช่วงเดือนที่เหลือของปี โดยเฉพาะภาคการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลังคาดว่า มาตรการนี้จะช่วยหมุนเงินในระบบเศรษฐกิจกว่าหลายหมื่นล้านบาท เพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ และสร้างบรรยากาศการจับจ่ายที่คึกคักรับเทศกาลปีใหม่ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมความเชื่อมั่นของภาคเอกชน และสร้างแรงส่งต่อเนื่องให้เศรษฐกิจไทยในช่วงต้นปีหน้า นำไปสู่การกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในอนาคต

20-26ต.ค.ดีเดย์เปิดลงทะเบียนฯผ่านแอปฯเปาตัง
สำหรับขั้นตอนลงทะเบียน "คนละครึ่งพลัส" ผ่านแอปฯ "เป๋าตัง" เพื่อรับสิทธิช่วยจ่ายสูงสุด 2,400 บาท อย่าลืมเช็กเงื่อนไขการใช้สิทธิ สำหรับวิธีลงทะเบียน "คนละครึ่งพลัส" ผ่านแอปฯ "เป๋าตัง" รับสิทธิสูงสุด 2,400 บาท
คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส
- เป็นผู้มีสัญชาติไทย
- มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบีย
- บัตรประจำตัวประชาชน
- ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568
- ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิ์หรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการของรัฐ ได้แก่ (1) โครงการคนละครึ่ง (2) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 (3) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 (4) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 และ (5) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 5
สำหรับสิทธิโครงการคนละครึ่งพลัส กลุ่มผู้ได้รับสิทธิ 2,400 บาท คือ ประชาชนผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้มีเงินได้กรณีทั่วไป (ภ.ง.ด. 90) แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงาน ตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ประเภทเดียว (ภ.ง.ด. 91) หรือแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ได้รับสิทธิ์ลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 95) ของปีภาษี 2567 ตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568
ส่วนทางด้าน กลุ่มผู้ได้รับสิทธิ์ 2,000 บาท คือ ประชาชนผู้ไม่ยื่น แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาข้างต้น
ช่องทางลงทะเบียนสิทธิ์ผ่านแอปฯ เป๋าตัง
สำหรับผู้ที่เคย เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 5 (ปี 2565) ตรวจสอบผลการลงทะเบียนผ่านแอปฯ เป๋าตัง ผู้ที่ไม่เคย เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 5 (ปี 2565) ตรวจสอบผลการลงทะเบียนผ่าน SMS และแอปฯ เป๋าตัง
เงื่อนไขการใช้สิทธิ์สำหรับประชาชน
ผู้ที่ได้รับสิทธิ์โครงการคนละครึ่งพลัส ใช้สิทธิ์ครั้งแรกภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ก่อนเวลา 23:00 น. เพื่อไม่ให้โดนตัดสิทธิ์ตามเงื่อนไขโครงการใช้จ่ายผ่านโครงการคนละครึ่งพลัส กับร้านค้าที่ร่วมโครงการ ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2568 เวลา 06:00 - 23:00 น. โดยชำระผ่าน G Wallet
วิธีลงทะเบียนและใช้สิทธิ์โครงการคนละครึ่งพลัส
เริ่มลงทะเบียนสำหรับประชาชน ผ่านแอปฯ เป๋าตัง วันที่ 20 - 26 ตุลาคม 2568 เวลา 06:00 - 22:00 น.
“ผู้ที่ไม่เคยรับสิทธิ์” โครงการคนละครึ่งเฟส 5 (ปี 2565)
- อัปเดตแอปฯ “เป๋าตัง” เป็นเวอร์ชันล่าสุด และเปิดใช้งาน G Wallet
- เข้าแอปฯ “เป๋าตัง” และกดที่แบนเนอร์ “โครงการคนละครึ่งพลัส”
- ยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไข และยืนยันลงทะเบียน
- แจ้งผลการลงทะเบียนผ่านการแจ้งเตือนบนแอปฯ เป๋าตัง และ SMS (ภายใน 3 วัน)
- เติมเงินเข้า G Wallet ก่อนเริ่มใช้สิทธิ์
- เริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่ วันที่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568 เวลา 06:00 – 23:00 น.
- ตรวจประวัติการใช้สิทธิ์คงเหลือบนแอปฯ เป๋าตัง
“ผู้ที่เคยรับสิทธิ์” โครงการคนละครึ่งเฟส 5 (ปี 2565)
- อัปเดตแอปฯ เป๋าตัง เป็นเวอร์ชันล่าสุด และเปิดใช้งาน G Wallet
- เข้าแอปฯ เป๋าตัง และกดที่แบนเนอร์ “โครงการคนละครึ่งพลัส”
- ยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไข และยืนยันลงทะเบียน
- แจ้งผลการลงทะเบียนผ่าน การแจ้งเตือนบนแอปฯ เป๋าตัง
- เติมเงินเข้า G Wallet ก่อนเริ่มใช้สิทธิ์
- เริ่มใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่ วันที่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568 เวลา 06:00 – 23:00 น.
- ตรวจประวัติการใช้สิทธิ์คงเหลือบนแอปฯ เป๋าตัง
ทั้งนี้ โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ภายใต้รัฐบาลอนุทินถือเป็นมาตรการสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี 2568 ที่มุ่งเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนและสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ การอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบผ่านการใช้จ่ายร่วมระหว่างภาครัฐและประชาชนจะช่วยให้การหมุนเวียนทางเศรษฐกิจคึกคักขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่เป็นฤดูกาลจับจ่ายสูงสุดของปี ทั้งยังช่วยเสริมความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นแรงส่งสำคัญให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ปีหน้าอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น 












