7 พฤษภาคม 2562 : เมื่อปมเก็บภาษีดอกเบี้ยเงินฝากตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป หลายคนคงจะพอทราบข่าวกันแล้วว่า สรรพากรมีนโยบายให้ธนาคารต่างๆแจ้งข้อมูลเงินฝากลูกค้า สำหรับลูกค้าที่มีดอกเบี้ยเงินฝากตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป โดยให้ประชาชนแจ้งกับธนาคารให้ยินยอมให้ธนาคารส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากร ทำให้ประชาชนตกอกตกใจ ว่าสรรพากรเอาเปรียบบ้าง หลายคนกลัวว่าสรรพากรจะรู้ข้อมูลของต้นมากแล้วโดนภาษีเพิ่ม ก็พากันโวยวายกันยกใหญ่ จนสรรพากรต้องกับไปแก้ไขประกาศ หลายคนคงลืมไปว่า บัญชีเงินฝากที่สามารถมีดอกเบี้ยเงินฝากสูงถึง 20,000 บาทขึ้นไปนั้น จะต้องมีเงินฝากในบัญชีแต่แต่ 4 ล้านบาทขึ้นไป ไม่ว่าเงินนั้นจะกระจายไปในหลายบัญชีก็ตาม
กลุ่มคนที่โดนภาษีนี้ไม่ใช่คนรากหญ้าหรือชั้นกลาง แต่เป็นกลุ่มมั่งคั่งเป็นหลัก และกลุ่มนี้ก็ทราบดีอยู่แล้วว่า จะต้องโดนหักภาษี 15% เมื่อเข้าเกณฑ์ดังกล่าว และบางคนฉลาดกว่านั้น เพื่อไม่ให้โดนภาษีดอกเบี้ย ก็นำเงินไปลงทุนอย่างอื่นแทนอย่างลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ กองทุน อะไรแบบนี้ นอกจากจะต่อยอดเงินได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าฝากเงินที่ได้ดอกเบี้ยต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ก็ไม่โดนภาษีดอกเบี้ยด้วย ก็ถ้าเงินฝากในบัญชีไม่ถึง 4 ล้านบาท ใครจะกล้ามาหักภาษีละ ส่วนคนที่อยากมีเงินในบัญชีสูงกว่า4ล้านบาท เพื่อใช้หมุนเวียน เขาก็ไม่มีปัญหา เพราะเขาทราบถึงกฎหมายดังกล่าวดีอยู่แล้ว

ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2562 ที่ผ่านมา สรรพากรได้แก้ไขประกาศเรียบร้อย โดยมีใจความว่า ตามที่กรมสรรพากรได้มีประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 344) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์และผลตอบแทนเงินฝาก ตามหลักการของศาสนาอิสลามที่ต้องจ่ายคืน เมื่อทวงถามตามหลักการวะดีอะฮ์ กรมสรรพากรได้หารือร่วมกันกับธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสมาคมธนาคารนานาชาติ เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2562 เพื่อกำหนดแนวทางการส่งข้อมูลดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ให้แก่กรมสรรพากร โดยที่ประชุมได้ข้อสรุปที่จะเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ฝากเงินมากที่สุด
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ชี้แจงการดำเนินการว่า “ที่ประชุมเห็นพ้องกันในการแก้ไขประกาศข้างต้น เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ฝากเงินบัญชีออมทรัพย์ส่วนใหญ่ทั่วประเทศให้ได้รับสิทธิยกเว้นภาษี โดยธนาคารจะนำส่งข้อมูลดอกเบี้ยแก่กรมสรรพากร แต่หากผู้ฝากเงินไม่ประสงค์จะได้รับยกเว้นภาษีต้องแจ้งแก่ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยไม่ให้นำส่งข้อมูล ซึ่งธนาคารจะหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจากดอกเบี้ยดังกล่าวไว้ในอัตราร้อยละ 15 ทั้งนี้ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างปรับปรุงประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับดังกล่าว”
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การกำหนดให้ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยนำส่งข้อมูลดอกเบี้ยทุกบัญชีต่อกรมสรรพากร จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าบัญชีเงินฝากส่วนใหญ่ของประเทศ อย่างไรก็ตาม สำหรับลูกค้าที่ไม่ประสงค์จะใช้สิทธิดังกล่าว และไม่ต้องการให้ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยนำส่งข้อมูลดอกเบี้ยให้กรมสรรพากร ต้องกรอกแบบฟอร์ม เพื่อแจ้งความประสงค์ที่ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยที่ลูกค้ามีบัญชีให้ครบทุกธนาคาร ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นไป
โดยการแจ้งครั้งเดียวจะมีผลตลอดไป จนกว่าลูกค้าจะมาแจ้งเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น ทั้งนี้ ลูกค้าที่มาแจ้งภายในวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 จะมีผลตั้งแต่รอบภาษีดอกเบี้ยจ่ายครึ่งปีแรกในเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 หรือที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ
ทั้งนี้ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ได้กล่าวชัดเจน ถึงเจตนารมณ์ในนโยบายดังกล่าวว่า เพื่อเป็นการลดการจ่ายภาษีซ้ำซ้อนของประชาชน ซึ่งกฎหมาบเดิมได้กำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่า ประชาชนที่มีรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝากตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป จะต้องจ่ายภาษีให้รัฐ 15% และการทำงานที่ผ่านมาของสรรพากรต่างพื้นที่ต่างๆยังไม่ได้นำระบบอิเลคทรอมาใช้ เวลาที่ธนาคารส่งข้อมูลมายังสรรพากรพื้นที่ ทำให้เจ้าหน้าอาจหลงลืมด้วยงานที่ล้นมือ ทำให้ไม่ได้มีการแจ้งกลับไปยังธนาคารว่าบุคคลนั้นๆ ได้หักภาษีดอกเบี่ยฝาก 15% เรียบร้อยแล้ว ทำให้ประชาชนที่ไม่รู้หรือหลงลืมว่าตนเองมีรายได้ดอกเบี้ยดังกล่าวและถูกหักภาษีไปแล้ว ก็นำรายได้ทั้งหมดมาคำนวณรวมกันใหม่ เพื่อที่จะแจ้งสรรพกรในส่วนของภงด.90 และภงด.91. ที่จะต้องเสียภาษีรวมกว่า 30%
ทำให้ประชาชนที่ลืมว่าโดนหักภาษีดอกเบี้ยไปแล้วไม่ต้องมารวมในภงด.90-91 ต้องมาเสียภาษีซ้ำซ้อนและยังเป็นการเสียโอกาสในการเสียภาษีที่น้อยลงด้วย ดังนั้นการรวมมือกับธนาคารครั้งนี้เพื่อรักษาสิทธิ ไม่ให้ผู้ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยมาเสียซ้ำซ้อนในช่วงปลายปีอีก ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากข้อมูลจากธนาคารไปยังสรรพากรผ่านระบบอิเลคทรอนิกส์สรรพากรก็จะแจ้งไปยังธนาคารว่าบุคคลคนนี้ได้ถูกหักภาษีดอกเบี้ยไปแล้ว ธนาคารก็จะแจ้งไปยังลูกค้าอีกที เพื่อไม่ให้ลูกค้าลืมว่าโดนหักภาษีไปแล้ว ไม่ต้องนำไปคำนวณรวมอีกในสิ้นปี
ขณะทางด้านนายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย ระบุว่า คนที่เสียภาษีดอกเบี้ยในระบบมีไม่ถึง 1% ของ80 ล้านบัญชีเงินฝาก ที่อยู่ในระบบขณะนี้ เนื่องจากฐานลูกค้าที่จะโดนภาษีดังกล่าวจะเป็นกลุ่มคนมีเงินมั่งคั่ง ซึ่งกลุ่มนี้เขาได้บริหารจัดการเงินของเขาเป็นอย่างดี ด้วยอัตราดอกเบี่ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้เงินของกลุ่มคนมั่งคั่งโยกไปต่อเงินในสินทรัพย์ลงทุนอื่นแทนฝากเงินกับธนาคาร อย่างลงทุนในหุ้น ลงทุนในตลาดตราสารหนี้ กองทุนรวม ฯลฯ
ส่วนรายที่จำเป็นต้องมีเงินฝากในธนาคารในวงเงินสูงจนทำให้รายได้ดอกเบี้ยเข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษีนั้นๆ ได้มีการรับทราบถึงกฎหมายนี้ดีอยู่แล้วเพราะกฎหมายนี้ไม่ได้พึ่งประกาศใช้แต่ใช้มานานแล้ว เมื่อทราบที่มาที่ไปกับแล้ว ก็หวังว่าจะเข้าใจ การกลัวสรรพากรมากไป จนปิดกั้นทุกสิ่งอย่าง แต่บอกไว้เลยว่า คิดผิด เพราะสรรพากรรู้มากกว่าที่เราคิด ปิดอย่างไรก็ไม่พ้นสายตาหากสรรพากรจะเรียกเก็บภาษีหรือมีการตรวจสอบเกิดขึ้น สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ ทำอย่างถูกต้อง ปลอดภัยที่สุด ![]()












