WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันอังคาร ที่ 16 ธันวาคม 2568 ติดต่อเรา
วางแผนลดภาษีผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

11 เมษายน 2565 : เทศกาลยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ประจำปี 2564) สิ้นสุดอย่างเป็นทางการไปแล้ว หลายคนที่ยื่นภาษีไปแล้วก็สบายใจกันไปแต่บางคนถึงกับปาดเหงื่อ เป็นหน้าที่ทางกฎหมาย เพื่อนำเงินไปพัฒนาประเทศต่อไป

อย่างไรก็ดี ภาครัฐได้เปิดช่องในการให้สิทธิลดหย่อนภาษีประจำปีไว้หลายทางเช่นกัน ทั้งผ่านกองทุน RMF และ SSF ประกันชีวิต เงินบริจาค ฯลฯ ดังนั้น ผู้เสียภาษีที่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีไม่เกินที่ภาครัฐกำหนดไว้ บางรายก็ได้เงินภาษีคืนให้ชื่นใจ บางรายก็บรรเทาการจ่ายภาษีได้พอสมควร แต่ยังมีบางรายที่ใช้ทุกสิทธิในการลดหย่อนภาษีแล้วไม่พอยังต้องจ่ายภาษีเพิ่ม อันนี้ก็เข้าใจกันได้ว่ารายได้เพิ่มภาษีก็เพิ่มในทิศทางเดียวกัน

ย้อนกลับมาเรื่องของสิทธิลดหย่อนภาษีกันอีกสักรอบ เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนทางการเงินสำหรับปีนี้ เพื่อจะได้สิทธิลดหย่อนภาษีในการยื่นภาษีในปี 2565 ต่อไป กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)ที่มีไว้รรองรับวัยยามเกษียณ

โดย นางศิษฏศรี นาคะศิริ ผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับธุรกิจออกแบบการลงทุนและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ความรู้เรื่องดังกล่าวว่า หลายท่านคงทราบดีว่าเงินสะสมที่นำส่งเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายเข้ากองทุนจริง และเมื่อรวมกับเงินลงทุนเพื่อการเกษียณประเภทอื่น

ยกตัวอย่างเช่น กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี ทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเมื่อนำเงินออกจากกองทุนเมื่ออายุครบ 55 ปี และเป็นสมาชิกมาครบ 5 ปีแล้ว

ทั้งนี้ หายคนอาจสงสัยว่าควรวางแผนการออมการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอย่างไรดี สำหรับผู้ที่ต้องการเก็บเงินเพื่อใช้ในยามเกษียณ และไม่ได้ลงทุนในกองทุนประหยัดภาษีประเภทอื่น ควรเลือกส่งเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเต็มจำนวน จะได้นำไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

โดยอัตราเงินสะสมที่สามารถนำส่งเข้ากองทุนจะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับกองทุน ซึ่งสามารถสอบถามข้อมูลอัตราเงินสะสมและอัตราเงินสมทบที่จะได้รับจากนายจ้าง รวมถึงเงื่อนไขอื่นๆได้จากคณะกรรมการกองทุนหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของนายจ้างหรือศึกษาได้จากข้อบังคับกองทุน ทั้งนี้ อัตราเงินสะสมและเงินสมทบในข้อบังคับกองทุนจะอยู่ระหว่าง 2-15% ตามที่กฎหมายกำหนดไว้

อย่างไรก็ตาม การลงทุนยาวและสม่ำเสมอช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้ดี ซึ่งการเก็บออมเพื่อการเกษียณอายุผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นการลงทุนระยะยาว ยิ่งเริ่มส่งเงินเข้ากองทุนเร็วเท่าไร ยิ่งมีเวลาเก็บออมนานขึ้นเท่านั้น ประกอบกับการสะสมเงินอย่างต่อเนื่องทุกๆเดือน จะช่วยเพิ่มพูนให้เงินกองทุนงอกเงยจนเป็นเงินก้อนโตที่เราอาจคาดไม่ถึง

ตัวอย่างเช่น สมาชิกเริ่มออมตั้งแต่อายุ 20 ปี ได้รับเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท และเพิ่มขึ้น 2% ทุกปี ขณะที่สมาชิกและนายจ้างส่งเงินเข้ากองทุนฝ่ายละ 10% ตั้งแต่ปีแรก โดยได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 3% เมื่อเวลาผ่านไป 15 ปี จะมีเงินเก็บกว่า 7 แสนบาท หากเก็บเงินต่อเนื่องอีก 5 ปี เงินกองทุนจะเพิ่มเป็นประมาณ 1.1 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.5 เท่า และหากเป็นสมาชิกต่อเนื่องถึง 30 ปี เงินกองทุนจะเพิ่มเป็น 2.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3 เท่าจาก 15 ปีที่แล้ว เรียกได้ว่าวินัยการเก็บออมที่ต่อเนื่องจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่เติบโตสูงขึ้นตามระยะเวลาที่ผ่านไปนั่นเอง

ทั้งนี้ หากเลือกนโยบายการลงทุนเหมาะสมก็จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาวได้เช่นกัน สิ่งสำคัญที่สมาชิกควรตระหนักถึง เมื่อวางแผนเก็บเงินเตรียมพร้อมเพื่อการเกษียณ คือ การเลือกนโยบายการลงทุน หากเลือกลงทุนในนโยบายการลงทุนที่มีแต่ความเสี่ยงต่ำ อาจต้องแลกกับความเสี่ยงที่จะมีเงินเก็บไม่พอใช้ในยามเกษียณอายุ

ดังนั้น หากคณะกรรมการกองทุนของบริษัทที่เพื่อนสมาชิกทำงานอยู่ จัดให้มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อนสมาชิกควรเลือกลงทุนในนโยบายที่เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตน และตระหนักถึงโอกาสในการได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการออมได้ตามแผนที่วางไว้

ยกตัวอย่างเช่น สมาชิกในวัยหนุ่มสาวที่ยังมีเวลาเก็บออมระยะยาว อาจเลือกลงทุนในกองทุนตราสารทุน ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงกว่านโยบายประเภทอื่น ข้อมูลปี 2564 พบว่ากองทุนตราสารทุนสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 18.2% จากปีก่อนหน้า สูงกว่าดัชนีอ้างอิง (SET TRI) ซึ่งอยู่ที่ 17.7% และสูงกว่านโยบายการลงทุนประเภทอื่น

อย่างไรก็ดี ผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถรับประกันได้ว่าผลตอบแทนในอนาคตจะเป็นเช่นนั้น จึงไม่ควรใช้เป็นปัจจัยเดียวในการตัดสินใจลงทุน สิ่งสำคัญคือการกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในนโยบายที่หลากหลาย หากตราสารทางการเงินประเภทอื่นมีผลขาดทุน อาจมีตราสารทางการเงินประเภทอื่นที่มีกำไรมาช่วยชดเชยให้ผลตอบแทนรวมยังดีอยู่หรือไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก

ในการเลือกนโยบายการลงทุน ควรพิจารณาเลือกลงทุนให้ครอบคลุมตราสารทางการเงินทั้งในและต่างประเทศ เพราะนอกจากเป็นการเพิ่มทางเลือกในการสร้างผลตอบแทนแล้ว ยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในด้านต่างๆ ได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยเฉพาะในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีความไม่แน่นอนและซับซ้อน การลงทุนในตลาดการเงินเพียงแห่งเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการสร้างผลตอบแทนและการบริหารจัดการความเสี่ยง

ทั้งนี้ การลงทุนในต่างประเทศได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 39 กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ มีมูลค่าการลงทุนเติบโตถึง 51% จากปี 2563 สามารถสอบถามรายละเอียดของกองทุนต่างประเทศหรือแจ้งให้คณะกรรมการกองทุนทราบถึงความสนใจที่จะลงทุนในกองทุนต่างประเทศ เพื่อที่คณะกรรมการกองทุนจะได้ประสานกับบริษัทจัดการเพื่อคัดเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมต่อไป

อย่างไรก็ดี หากเลือกลงทุนไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศแล้วพบว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนไม่เป็นที่น่าพอใจหรือขาดทุน ก็อย่าตื่นตระหนกตกใจนัก อยากให้นึกถึงเป้าหมายการออมการลงทุนผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพว่า เป็นเรื่องระยะยาว ความผันผวนในระยะสั้นย่อมเกิดขึ้นเป็นปกติ การลงทุนในนโยบายที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นในระดับความเสี่ยงที่สมาชิกยอมรับได้ ก็อาจนำมาซึ่งผลตอบแทนในระยะยาวที่มากขึ้นได้

การเงิน ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP