WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันพุธ ที่ 13 สิงหาคม 2568 ติดต่อเรา
ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้…พักตัว เหมาะกับการขายทำกำไรเพราะราคาที่มองว่าเริ่มแพง##

30 มกราคม 2560 : “ บล.KTBST ประเมินตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (30 ม.ค. -3 ก.พ.) มีแนวโน้มพักตัว เหมาะกับการขายทำกำไรเพราะราคาที่มองว่าเริ่มแพง ตลาดจับตาการประชุม FOMC และนโยบายประธานาธิบดีสหรัฐฯ กรอบมองดัชนีสัปดาห์นี้ผันผวนในกรอบ 1,566 – 1,610 จุด แนะหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ TOP , SPRC กลุ่ม Domestic Play : BJC, LOXLEY , ITEL “

ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST ประเมินตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (30 ม.ค. -3 ก.พ.) ว่า จะเป็นช่วงของการพักตัว เพื่อรอดูว่านโยบายของสหรัฐฯ จะให้ผลไปในทางใดต่อเศรษฐกิจ-ประเทศคู่ค้า รวมถึงรอการประชุม FOMC ที่จะทราบผลในช่วงกลางสัปดาห์ แรงซื้อจะกระจุกตัวในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ตลาดมีแนวโน้มพักตัวหรือ side way down มาจากการตอบรับของราคาหุ้นต่อข่าวบวกนั้นมีมาระดับหนึ่งแล้ว ทำให้ราคาหุ้นถูกมองว่าแพงขึ้น

หากไม่ได้ปัจจัยสนับสนุนหรือปัจจัยที่เอื้อต่อภาพรวมของตลาด จะทำให้นักลงทุกเลือกที่จะ take profit หรือรอดู มากกว่า ดังนั้นคาดว่าดัชนีฯสัปดาห์นี้จะผันผวนในกรอบ 1,566 – 1,610 จุด และสัปดาห์ถัดไป (6-10 ก.พ.) มองว่าตลาดจะเสถียรมากขึ้นหลังทราบผลประชุม FOMC ไปแล้วและความชัดเจนของนโยบายประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อตลาดหุ้นและเศรษฐกิจโลกจะชัดเจนมากขึ้นทำให้เรามองตลาดในสัปดาห์นี้เป็นบวกมากขึ้น

“ราคาหุ้นเริ่มดูว่าแพงและขาดปัจจัยหนุนจึงเหมาะกับการขายทำกำไรมากกว่า หรือรอซื้อที่แนวรับ 1,580 หรือ 1,566 จุดการเข้าลงทุนจะเป็นลักษณะ selective เพราะเหลือหุ้นเล่นได้มาก เน้นหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ หุ้นเก็งงบไตรมาส 4 หุ้นจ่ายปันผลดี หรือหุ้นที่มีข่าวบวก ส่วนหุ้นในกลุ่มส่งออก อีเล็คทรอนิคส์ และชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นกลุ่มที่จะได้รับผลจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯโดยตรง การลงทุนหุ้นกลุ่มนี้ จึงควรรอดูนโยบายการค้า หรือค่าเงินดอล่าร์ ให้วกกลับขึ้นไปก่อน”

Dr. Win Udomrachtavanic 1

ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ KTBST มองว่าจะมีผลต่อตลาดได้แก่ 1.) เรื่องนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะยังคงมีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นอยู่ต่อไป แม้นโยบายส่วนใหญ่จะทำไปตามที่หาเสียงไว้ แต่บางนโยบาย หรือการลงรายละเอียดในนโยบายบางตัว เช่น จะสร้างกำแพงที่พรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก การระงับออก VISA ให้แก่พลเมือง 7 ประเทศ จะทำให้นักลงทุนต้องกลับมารอดูนโยบายที่จะประกาศออกมาใหม่ๆ อีกครั้ง จากก่อนหน้านี้ ที่เห็นกันว่านโยบายหลักๆ นั้นไม่ได้มีอะไรที่แตกต่าง หรือมี surprise และยังคงต้องรอดูนโยบายกีดกันทางการค้าว่าจะมีอะไรเพิ่มเติมเข้ามาหรือไม่ ส่วนนโยบายที่สนับให้มีการย้ายฐานการผลิตไปยังสหรัฐฯ หลายบริษัทก็มีการประกาศนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ผลมาถึงไทยจะยังไม่เห็นเพราะส่วนใหญ่จะย้ายจากฐานการผลิตในประเทศใกล้เคียงสหรัฐฯไป

ส่วนเรื่องที่ค่อนข้างชัดเจนคือการถอนตัวจากการทำสัญญา TPP ของสหรัฐฯ นั้น ไม่ได้ทำให้สัญญาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าต้องถูกระงับไป แต่สหรัฐฯจะไปทำสัญญาตรงกับแต่ละประเทศแทน (เพื่อให้สหรัฐฯได้ประโยชน์มากที่สุด) ซึ่งจะลดความกังวลที่นักลงทุนมีต่อเรื่องนี้ไปมาก อีกทั้ง TPP นั้น ปัจจุบันยังไม่มีผลบังคับใช้ ดังนั้น ผลได้เสียจึงมีน้อยอยู่ สำหรับไทยเอง การยกเลิก TPP จะมองในมุมบวกเพราะไทยจะไม่เสี่ยงต่อการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และหุ้นที่ผลิตเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ขณะที่เงินดอลล่าร์ที่อ่อนค่าลงในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะทรงตัวๆ หลังตัวเลข GDP ไตรมาส 4 ของสหรัฐฯออกมาเพียง 1.9% จากที่คาดไว้ 2.2% และรอประเมินผลของนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯว่าจะออกมาในทางใด เพราะมีผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

2) การประชุมธนาคารกลาง ญี่ปุ่น (BOJ) 30-31 ม.ค. ,สหรัฐฯ (FOMC) 31 ม.ค. – 1 ก.พ. ,อังกฤษ (BOE) 2 ก.พ. ซึ่งผลสำรวจการประชุมธนาคารทั้ง 3 แห่ง คาดว่าจะคงนโยบายการเงินไว้ เพื่อรอดูนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ และรอให้ Fed ตัดสินใจนำไปก่อนแต่ประเด็นที่มีผลต่อตลาด จะเป็นแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยเฉพาะ FOMC ที่คณะกรรมการจะมีความเห็นต่อแนวโน้มดอกเบี้ย และมุมมองต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดังนั้น เมื่อทราบผลประชุม ก็มีแนวโน้มที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดอีกระลอกหนึ่ง

3) การเก็งงบ 4Q เราประเมินกำไรไตรมาสที่ 4/59 ไว้ที่ 1.6 – 1.7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 9-13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรืออาจดีกว่านี้เล็กน้อย เหตุผลหลักๆ ที่ทำให้กำไรของบริษัทในตลาดดีขึ้น มาจากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง มูลค่าส่งออกของไทยที่สูงขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่เข้ามาในช่วง 1-2 เดือนสุดท้าย หุ้นที่คาดว่าผลประกอบการ 4Q จะออกมาดี จะเป็นธุรกิจกลุ่มน้ำมัน (ผู้ผลิต+โรงกลั่นน้ำมัน) ธุรกิจส่งออก (อีเล็คทรอนิกส์-ชิ้นส่วนรถยนต์-อาหารแช่แข็ง-เกษตรแปรรูป ฯลฯ) และกลุ่มค้าปลีก เป็นต้น

4) ราคาน้ำมันดิบ WTI คาดจะยืนตัวเหนือระดับ $50 เหรียญได้ และมีแนวโน้มที่จะขยับเข้าหา $55 เหรียญในเร็วๆ นี้ กรอบการเคลื่อนไหวช่วง 1 เดือนข้างหน้า เราประมาณไว้ที่ $51 – 55 เหรียญราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น เป็นผลจากทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น และ supply ที่ลดลงจากผู้ผลิต (OPEC+Non-OPEC) แต่ราคาหุ้นผู้ผลิตน้ำมัน นั้นสะท้อนไปกับราคาน้ำมันแล้ว โอกาสที่ราคาหุ้น (PTTEP) จะปรับตัวขึ้นจึงไม่มากนัก ด้านกลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน และโรงงานปิโตรเคมีขั้นต้น มีโอกาสที่ราคาผลิตภัณฑ์จะขยับขึ้นตามราคาน้ำมัน

ส่วนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ที่คาดว่าจะยังมีแนวโน้มดี จะเป็น เหล็ก ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ซึ่งราคาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ต่างยังได้รับจะมาทั้งจากการผลิตสินค้ากลุ่มนี้ที่ปรับขึ้นมาไม่ทัน แต่ความต้องการยังสูง อีกทั้งราคายังได้รับอานิสงค์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นด้วย ราคาหุ้นที่ได้ประโยชน์ บางตัวปรับขึ้นมามาก การเข้าลงทุนจึงควรพิจารณาเป็นรายตัว

สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนได้แก่ หุ้นได้ประโยชน์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น : TOP , SPRC , IVL , STA , T-RUBB , TVO หุ้นรับผลบวกการลงทุน-ใช้จ่าย ภาครัฐ หรือ Domestic Play : BJC, LOXLEY , ITEL หุ้น ที่ราคาลงมามาก Laggard : ADVANC , MSC หุ้นที่มีประเด็นบวกอื่นๆ หรือราคาลงมามาก : MAJOR , CHO , SCN , BCHlogo เล็ก (ปิดท้ายข่าว) - Copy

การเงิน ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP