10 มิถุนายน 2568 : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กำลังอยู่ในกระบวนการออกกฎเกณฑ์ใหม่ภายใต้ชื่อว่า “Cap Weight 10%” ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อจำกัดสัดส่วนของหุ้นรายตัวที่มีผลต่อดัชนีตลาดให้อยู่ไม่เกิน 10% ต่อบริษัท โดยเฉพาะในดัชนีสำคัญอย่าง SET50 และ SET100 เพื่อให้ดัชนีสะท้อนภาพรวมของตลาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลดการผูกขาดของหุ้นขนาดใหญ่ และสร้างความสมดุลในการลงทุนผ่านดัชนี
จุดเริ่มต้นของแนวคิดนี้มาจากข้อสังเกตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ว่าหุ้นขนาดใหญ่อย่างเช่น DELTA, AOT หรือ PTT มีน้ำหนักในดัชนีสูงมากจนสามารถส่งผลให้ค่าดัชนีเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับหุ้นเพียงไม่กี่ตัว ซึ่งบิดเบือนภาพรวมของตลาดจริง และอาจทำให้นักลงทุนทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับภาวะของเศรษฐกิจหรือแนวโน้มของการลงทุนในประเทศ
ข้อดีของมาตรการ Cap Weight 10% คือช่วยกระจายความสำคัญของหุ้นในดัชนีให้เท่าเทียมมากขึ้น ลดอิทธิพลของหุ้นขนาดใหญ่ที่มักดึงดูดเม็ดเงินลงทุนผ่านกองทุนรวมแบบ Passive หรือ ETF และส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นแบบไม่เป็นธรรมกับบริษัทขนาดกลางหรือเล็ก นอกจากนี้ ยังช่วยเปิดโอกาสให้หุ้นรายกลางมีโอกาสเข้าสู่ดัชนีมากขึ้นและได้รับการจับตามองจากนักลงทุนมากขึ้นตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ก็มีข้อเสียที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะในแง่ของการบิดเบือนกลไกตลาดเสรี เพราะตลาดทุนควรสะท้อนขนาดและผลประกอบการของบริษัทตามธรรมชาติ การจำกัดน้ำหนักหุ้นในดัชนี อาจทำให้ผู้ลงทุนที่ต้องการสะท้อนการลงทุนตามมูลค่าตลาดจริงเกิดความไม่พอใจ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจสร้างความผันผวนในระยะสั้นต่อตลาดและหุ้นบางกลุ่มที่ถูกลดน้ำหนักลง
ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งแนะนำว่าตลาดควรมีช่วงเปลี่ยนผ่านที่ชัดเจน และควรสื่อสารกับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ไม่ก่อให้เกิดแรงเทขายหรือการเก็งกำไรที่ผิดทิศทางในช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ยังอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ โดยคาดว่ากฎ Cap Weight 10% จะเริ่มมีผลในช่วงปลายปี 2568 หากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์
สุดท้ายนี้ แม้กฎ Cap Weight 10% จะไม่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้ในทันที แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างเสถียรภาพของตลาดทุนไทยในระยะยาว โดยเฉพาะในยุคที่นักลงทุนให้ความสำคัญกับความโปร่งใส ความยั่งยืน และการกระจายความเสี่ยง การออกกฎลักษณะนี้จะช่วยส่งเสริมตลาดที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในภาพรวม
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) หรือ Pi ออกมาให้ความเห็นถึงปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า “DELTA Effect” ว่านี่ไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหวของหุ้นตัวเดียวอีกต่อไป แต่มันเหมือน “หินก้อนใหญ่” ที่ถูกโยนลงกลางตลาด และสร้างแรงกระเพื่อมไปทั้งระบบ
เรื่องเริ่มจากการที่ DELTA มีน้ำหนักในดัชนี SET50 และ SET100 มากอย่างมหาศาล ล่าสุดแตะระดับ 13% ใน SET50 ซึ่งถือว่าสูงจนหุ้นตัวอื่นเทียบไม่ติด และเมื่อหุ้นที่มีน้ำหนักมากขนาดนี้ขึ้นหรือลงที ก็สามารถลากทั้งดัชนีตามไปได้ ทำให้ตลาดเริ่มรู้สึกว่า “เสียสมดุล”
ทางตลาดหลักทรัพย์จึงเตรียมออกกฎใหม่ที่ชื่อว่า “Cap Weight 10%” ซึ่งกำหนดว่า หุ้นตัวใดก็ตามที่มีน้ำหนักเกิน 10% ในดัชนี จะต้องถูกปรับลดน้ำหนักลงให้ไม่เกินระดับนั้น
แน่นอนว่า DELTA โดนเต็มๆ และสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ กองทุนประเภท Passive Fund ที่ลงทุนตามดัชนี จะต้อง “ขายหุ้น DELTA ออก” เพื่อให้พอร์ตของตัวเองสอดคล้องกับกฎใหม่ ซึ่งเมื่อหลายกองทุนขายพร้อมกัน ย่อมกดดันราคาหุ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นักวิเคราะห์ของ Pi เชื่อว่า หากกฎนี้ถูกบังคับใช้จริง DELTA มีโอกาสถูกเทขายหนักจากหลายกองทุนที่ถืออยู่จำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง แม้ไม่มีข่าวลบใดๆ มากระทบโดยตรง
แต่ในวิกฤติก็มีโอกาส เพราะเมื่อ DELTA ถูกบีบถอย หุ้นใหญ่อื่นๆ อย่าง PTT, GULF, ADVANC, CPALL และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จะได้รับประโยชน์จากการ “กระจายน้ำหนัก” ของดัชนี เม็ดเงินที่เคยไหลเข้าหุ้นตัวเดียวก็จะกระจายไปหาหุ้นตัวอื่นแทน
กลยุทธ์ในช่วงนี้จึงไม่ใช่แค่รอช้อนซื้อ DELTA แต่ต้องมองหาหุ้นที่ได้ “อานิสงส์ทางอ้อม” ด้วย เช่น ADVANC ที่หลายสำนักวิเคราะห์เริ่มเชียร์มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังไม่สามารถกลับมานิ่งได้ในเร็ววัน เพราะยังมีแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งความกังวลเรื่องเศรษฐกิจในประเทศ นักท่องเที่ยว การส่งออก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังไม่ออกมา รวมถึงปัจจัยการเมืองภายในอย่างข่าวลือเรื่องการปรับ ครม. ขณะที่เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน ก็ยังไม่ฟื้นเต็มที่
สรุป DELTA อาจเป็นจุดเริ่ม แต่ผลกระทบลามไปถึงทั้งตลาด การเปลี่ยนแปลงน้ำหนักในดัชนีจะกระทบการเคลื่อนตัวของเงินทุนในระบบ ใครที่อ่านเกมขาดและปรับพอร์ตได้เร็ว อาจมีโอกาสเจอ “ของดีราคาน่ารัก” ในช่วงที่ตลาดกำลังเข้าสู่โหมดปรับสมดุลครั้งใหญ่