19 มิถุนายน 2568 : ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน ทั้งจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ยังสูง เงินเฟ้อที่ยังไม่กลับสู่ระดับเป้าหมาย รวมถึงปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ทั่วโลก การลงทุนจึงกลายเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความรอบคอบและการวางแผนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ต้องการสร้างผลตอบแทนในระยะยาวควบคู่กับการควบคุมความเสี่ยงให้เหมาะสมกับระดับความสามารถในการรับความผันผวนของตน
หนึ่งในเครื่องมือการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องคือ กองทุนรวม ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องมีเงินลงทุนจำนวนมากหรือมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ด้วยการบริหารจัดการจากผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ การลงทุนผ่านกองทุนรวมจึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการความสะดวก ความโปร่งใส และการติดตามผลอย่างมีระบบ
อย่างไรก็ตาม การเลือกกองทุนที่เหมาะสมและการจัดสัดส่วนพอร์ตการลงทุน (Asset Allocation) ที่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ในช่วงที่ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง การกระจายการลงทุนอย่างสมดุลระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงและสินทรัพย์ปลอดภัยสามารถช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดได้
ล่าสุด จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ส่งผลให้ตลาดการเงินโลกปรับตัวผันผวนอีกครั้ง โดยราคาน้ำมัน ทองคำ และตลาดหุ้นต่างตอบสนองทันทีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่ผู้จัดการกองทุนชี้ ยังไม่ควรตื่นตระหนก แต่ควรเน้นการกระจายความเสี่ยงและวางกลยุทธ์ลงทุนอย่างรอบคอบ
นายวิน พรหมแพทย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (KAsset) เปิดเผยมุมมองต่อสถานการณ์เทื่อวันที่ 13 มิ.ย.2568 ที่ผ่านมา หลังมีรายงานว่าอิสราเอลได้โจมตีทางอากาศใส่อิหร่าน โดยมีเป้าหมายที่โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นทันทีมากกว่า 7% ขณะที่ดัชนี Dow Jones Futures และ S&P 500 Futures ปรับตัวลดลงราว -1.5% ถึง -1.68% ส่วนราคาทองคำขยับขึ้น 1.4% สะท้อนความกังวลของนักลงทุนทั่วโลกต่อความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจบานปลาย
ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์: เฝ้าระวังไม่ใช่ตื่นตระหนก
โดยตลาดกำลังจับตาความเป็นไปได้ของการปิด “ช่องแคบฮอร์มุซ” ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านของน้ำมันมากถึง 20% ของอุปทานโลก หากเกิดขึ้นจริง อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยในกรณีเลวร้ายสุดที่สถานการณ์กลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ราคาน้ำมันอาจไต่ระดับขึ้นไปถึง 120–130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความกังวลในระยะสั้น แต่ KAsset มองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้อาจเป็นเพียงกลยุทธ์ระยะสั้นก่อนการเจรจานิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ที่ประเทศโอมาน โดย J.P. Morgan ยังประเมินราคาน้ำมันดิบ Brent ในปี 2025 ให้อยู่ในกรอบ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และเชื่อว่าราคาปัจจุบันที่อยู่ใกล้ระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ได้สะท้อน “ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์” ไปบางส่วนแล้ว
ตลาดผันผวนคือโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มีวินัย
ทาง KAsset แนะนำให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยไม่จำเป็นต้องรีบปรับพอร์ตหรือตื่นตระหนกจนเกินไป เพราะแม้จะมีแรงกดดันระยะสั้นต่อราคาหุ้น แต่ก็อาจเปิดโอกาสในการเข้าลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีแต่ราคาปรับตัวลงชั่วคราว
กลยุทธ์หลักยังคงเน้น “Stay Invested” ในพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) เพื่อเสริมความมั่นคง ลดความผันผวน และกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการเพิ่มสัดส่วนของพอร์ตเสริม (Satellite Portfolio) สำหรับการสร้างผลตอบแทนจากโอกาสเฉพาะด้าน
สำหรับแนะนำกองทุนรวมจาก KAsset เพื่อจัดพอร์ตอย่างสมดุลในช่วงตลาดผันผวน คือ Core Portfolio – คงความมั่นคง ปรับกลยุทธ์ได้ตลอดเวลา ได้แก่ กองทุนK-WPBALANCED กองทุนK-WPSPEEDUP และกองทุนK-WPULTIMATE
ขณะที่กองทุนเด่นเดือนมิถุนายน 2568 จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (KAsset) ได้แนะนำการจัดพอร์ตลงทุนแบบผสมผสานระหว่างกองทุน Core Portfolio ที่เน้นความมั่นคง และ Satellite Portfolio ที่เน้นสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะสั้น ในส่วนของ Core Portfolio แนะนำกองทุน K-GSELECT ซึ่งลงทุนในหุ้นทั่วโลก โดยเน้นบริษัทที่มีพื้นฐานดีและราคาน่าสนใจ เหมาะกับการลงทุนทั้งในภาวะหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า พร้อมด้วย UGISFX-N ที่ลงทุนในตราสารหนี้หลากหลายทั่วโลก และไม่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน เหมาะสำหรับช่วงที่ดอกเบี้ยใกล้จุดสูงสุดและค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า
ด้าน Satellite Portfolio ซึ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนเฉพาะทาง แนะนำ K-JP-A(D) ที่เน้นหุ้นญี่ปุ่นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มการเงินที่มีศักยภาพเติบโตจากปัจจัยภายในประเทศ และ TUSFIN-A ที่อ้างอิงดัชนีหุ้นการเงินสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มฟื้นตัวจากกำไรบริษัทและการลดภาษีที่อาจเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้
สำหรับตลาดจีน กองทุน KT-CHINA-A น่าสนใจจากการฟื้นตัวของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำและผลประกอบการที่ดีกว่าคาด แม้เผชิญแรงกดดันภายนอก ขณะที่ ONE-FFI ซึ่งลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น ก็เหมาะกับนักลงทุนที่มองว่าค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินพื้นฐาน และต้องการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
กลยุทธ์โดยรวม แนะนำให้ "ทยอยลงทุน" เมื่อราคาสินทรัพย์ปรับฐานลง และคงน้ำหนักการลงทุนใน Core Portfolio เพื่อสร้างความมั่นคงให้พอร์ต พร้อมใช้ Satellite Portfolio เป็นเครื่องมือเสริมเพื่อคว้าโอกาสในตลาดที่ยังไม่เสถียรในระยะสั้น แม้ตลาดโลกจะยังเปราะบาง แต่ด้วยการจัดพอร์ตที่เหมาะสม ควบคู่กับการติดตามข่าวสารและการลงทุนอย่างมีวินัย นักลงทุนยังสามารถ “อยู่ในตลาด” และสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว