27 มิถุนายน 2568 : วันที่ 19 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา นับเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ของระบบธนาคารไทย เมื่อ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศรายชื่อผู้ได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้ง “ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา” หรือ Virtual Bank จำนวน 3 ราย ถือเป็นก้าวย่างสำคัญที่อาจพลิกโฉมการเข้าถึงบริการทางการเงินในไทยไปตลอดกาล
โดยทั้งสามกลุ่มที่ได้รับไฟเขียวจาก ธปท. นั้น ไม่ได้เป็นแค่ชื่อใหญ่ในวงการเทคโนโลยีและการเงิน แต่ยังสะท้อนภาพการรวมพลังระหว่างผู้เล่นในประเทศและพันธมิตรจากต่างชาติ เริ่มตั้งแต่กลุ่ม บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด และกลุ่มผู้ร่วมขออนุญาต ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANCE บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR และกลุ่มผู้ร่วมขออนุญาต บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB WeTechnology Limited, KakaoBank Corp. และกลุ่มผู้ร่วมขออนุญาต พันธมิตรของแต่ละกลุ่มการเงินล้วนแต่ไม่ธรรมดาล้วนมีศักยภาพที่จะสร้างแรงกระเพื่อมใหม่ในวงการ
หลังจากนี้ ผู้ได้รับการเห็นชอบจะต้องตั้งบริษัทมหาชน และผ่านการประเมินความพร้อมจาก ธปท. อีกขั้น ก่อนจะได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจอย่างเป็นทางการ โดยมีกำหนดเวลา 1 ปี นับจากวันได้รับความเห็นชอบ และสามารถขยายเวลาได้อีกปีหากมีเหตุอันสมควร
หลายคนอาจสงสัยว่า Virtual Bank จะต่างจากธนาคารทั่วไปอย่างไร? คำตอบก็คือ..มาก เพราะพวกเขาจะไม่มีสาขา แต่จะให้บริการผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลทั้งหมด ตั้งแต่การเปิดบัญชี การยืนยันตัวตน การขอสินเชื่อ หรือแม้แต่การลงทุน ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ในมือถือเครื่องเดียว ซึ่งนั่นก็หมายถึงความคล่องตัว ต้นทุนต่ำ และศักยภาพในการให้บริการที่ “เฉพาะบุคคล” ได้มากกว่า
ไม่เพียงเท่านั้น... กลุ่มที่ได้รับเลือกต่างก็มีจุดแข็งเฉพาะด้านที่น่าสนใจ เช่น ความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI ความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้บริโภค และการเข้าถึงฐานข้อมูลลูกค้าจำนวนมหาศาล ผ่านแพลตฟอร์มในเครือ ไม่ว่าจะเป็น AIS, OR หรือ KakaoBank ทั้งหมดนี้จะกลายเป็นขุมพลังในการพัฒนาโมเดลการปล่อยสินเชื่อและผลิตภัณฑ์การเงินแบบใหม่
ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยถึงแนวคิด “Green Line Business” หรือการมุ่งเน้นบริการทางการเงินที่เข้าถึงได้และเหมาะสมกับกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงระบบการเงิน (unserved/underserved) คือสิ่งที่ ธปท. ต้องการเห็น และ Virtual Bank กลุ่มใหม่นี้ดูจะตอบโจทย์ดังกล่าวได้ชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มรายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ที่เคยถูกมองข้าม
เมื่อมองไปยังกรณีศึกษาต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้หรือสิงคโปร์ เราจะเห็นภาพของ Virtual Bank ที่นำเทคโนโลยีมาเชื่อมต่อกับบริการทางการเงินอย่างลื่นไหล ตั้งแต่ e-KYC, digital lending, ไปจนถึงการใช้ alternative data ในการประเมินความเสี่ยงและกำหนดวงเงินสินเชื่อ ซึ่งเปิดโอกาสให้คนธรรมดาเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายและแม่นยำขึ้น
Kakao Bank ของเกาหลีใต้ คือหนึ่งในตัวอย่างที่น่าจับตามอง เมื่อสามารถฝังบริการทางการเงินลงไปในแอปฯ แชตอย่าง Kakao Talk ได้อย่างแนบเนียน ทั้งการโอนเงิน การเก็บออมแบบกลุ่ม หรือสินเชื่อที่ออกแบบได้ตามความต้องการของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยรายวัน หรือกำหนดวันจ่ายคืนแบบยืดหยุ่น
หากนำมาเทียบกับภาพของไทยในอนาคตอันใกล้ เราอาจได้เห็นการแข่งขันระหว่าง Virtual Bank ไทยในแง่ของ “การสร้างฐานลูกค้า” ผ่านนวัตกรรมเงินฝากที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล และอาจมาพร้อมดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าธนาคารดั้งเดิมเล็กน้อย เพื่อจูงใจให้คนไทยหันมาเปิดบัญชีและทดลองใช้บริการ
แต่การแข่งขันที่แท้จริงอาจเริ่มต้นหลังปีแรก ผ่านผลิตภัณฑ์สินเชื่อ การลงทุน และโมเดลทางการเงินที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งจะวัดกันที่ความสามารถในการใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์ และสร้างบริการที่ตรงใจผู้ใช้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่รวมถึงความเข้าใจมนุษย์ในทุกมิติ
จากบทเรียนของเกาหลีใต้ ยอดเงินฝากใน Virtual Bank พุ่งจาก 2.1% เป็น 6.6% ของทั้งระบบภายในไม่กี่ปีหลังเปิดตัว ขณะที่สินเชื่อแม้จะเติบโตช้ากว่าเล็กน้อย แต่ก็ตามมาติด ๆ นั่นเพราะความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น รายย่อยและ SMEs ซึ่งก็คือกลุ่มเป้าหมายหลักของ Virtual Bank ทั่วโลก
สิ่งที่น่าสนใจคือ Virtual Bank ในหลายประเทศสามารถลดค่าธรรมเนียมจำนวนมาก เช่น ไม่มีค่าปรับจ่ายหนี้ก่อนกำหนด ไม่มีค่ารักษาบัญชี และค่าธรรมเนียมเงินฝากขั้นต่ำต่ำกว่าปกติ ซึ่งหากแนวโน้มนี้เกิดขึ้นในไทยด้วย ก็อาจทำให้ระบบการเงินแบบดั้งเดิมต้องปรับตัวครั้งใหญ่
ท้ายที่สุด เรื่องใหญ่ไม่ได้อยู่แค่ที่ว่าใครจะเป็นผู้ให้บริการ Virtual Bank แต่เป็นคำถามว่า ใครจะสามารถเปลี่ยนข้อมูลที่มีอยู่ในมือ ให้กลายเป็นบริการทางการเงินที่ “เข้าใจ-เข้าถึง-และเข้าท่า” ได้มากที่สุด และในเวลาเดียวกัน ผู้เล่นทุกฝ่ายในระบบจะรับมือกับโจทย์ใหญ่ เช่น หนี้ครัวเรือนสูง หรือรายได้ครัวเรือนที่ยังไม่ฟื้นตัว ได้อย่างไร