30 กรกฎาคม 2568 : ปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา เป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อน สะสมมานานจากประวัติศาสตร์และประเด็นเรื่องสิทธิในดินแดน โดยเฉพาะบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร แม้จะมีการตัดสินจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) แล้ว แต่ความรู้สึกของประชาชนทั้งสองประเทศยังคงเปราะบางและอ่อนไหวอย่างมากต่อประเด็นนี้ เมื่อความขัดแยงลุกลามเป็นเหตุการณ์ปะทะกัน ไม่ว่าจะเป็นระดับการทหารหรือการโต้ตอบทางการทูต ผลกระทบที่ตามมาไม่เพียงจำกัดอยู่แค่เรื่องความมั่นคงของรัฐ แต่ยังส่งผลต่อประชาชนในพื้นที่ชายแดนอย่างลึกซึ้ง ทั้งในด้านชีวิตความเป็นอยู่ เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางจิตใจ

ประชาชนในพื้นที่แนวชายแดนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ความขัดแย้ง ต้องเผชิญกับภาวะไม่แน่นอน การอพยพออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย รวมถึงการสูญเสียโอกาสในการทำมาหาเลี้ยงชีพ ซึ่งส่วนใหญ่พึ่งพาทรัพยากรและตลาดในพื้นที่ข้ามแดน ความไม่สงบเหล่านี้จึงทำให้พวกเขาเสียทั้งรายได้และความมั่นคงในชีวิต ทางด้านเศรษฐกิจ การปะทะหรือปิดด่านชั่วคราวส่งผลกระทบอย่างมากต่อการค้าข้ามแดนซึ่งเป็นรายได้สำคัญของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าการเกษตร อุตสาหกรรมขนาดเล็ก และการท่องเที่ยว ด่านชายแดนหลายแห่งที่เคยคึกคักจากนักท่องเที่ยวและพ่อค้าแม่ค้าท้องถิ่น กลับกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าในช่วงวิกฤต
ในระดับสังคม ความรู้สึกไม่ไว้วางใจกันระหว่างประชาชนไทยและกัมพูชาในบางพื้นที่เริ่มก่อตัวขึ้นโดยมีการปลุกเร้าอารมณ์ชาตินิยมผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์ระยะยาวของทั้งสองประเทศ การแบ่งแยกและการกล่าวหาซึ่งกันและกัน ทำให้ความรู้สึกเป็นมิตรที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยความหวาดระแวง เยาวชนในสองประเทศซึ่งเติบโตมาท่ามกลางข้อมูลที่ขัดแย้ง อาจมีมุมมองที่เป็นลบต่อเพื่อนบ้านโดยไม่เข้าใจความซับซ้อนของประวัติศาสตร์และการเมือง อันเป็นอุปสรรคต่อการสร้างประชาคมอาเซียนที่เน้นความร่วมมือและสันติภาพในภูมิภาคอย่างแท้จริง
การทูตระหว่างไทยกับกัมพูชาเองก็ได้รับผลกระทบในช่วงที่ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น การเจรจาที่เคยดำเนินไปอย่างสร้างสรรค์ต้องหยุดชะงัก หรือถูกแทนที่ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงในระดับรัฐ ซึ่งเสี่ยงต่อการทำลายความสัมพันธ์อันดีที่สร้างมาก่อนหน้านั้น แม้จะมีความพยายามในการเจรจาและประสานงานเพื่อยุติความตึงเครียด แต่การขาดกลไกที่โปร่งใสและการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในกระบวนการสันติภาพ ทำให้การแก้ไขปัญหายังอยู่ในวงจำกัด ไม่สามารถลดความหวาดกลัวของชาวบ้านที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนความไม่แน่นอนได้อย่างแท้จริง
องค์กรภาคประชาชนและนักวิชาการบางกลุ่มได้เสนอให้ใช้แนวทางประวัติศาสตร์ร่วมและความร่วมมือในพื้นที่วัฒนธรรม เป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ แต่ยังขาดการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมจากภาครัฐทั้งสองฝ่าย ในระยะยาวหากปล่อยให้ความขัดแย้งดำรงอยู่โดยไม่มีการเยียวยาและปรับความเข้าใจ ความเสียหายจะขยายวงไปถึงภาพลักษณ์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเวทีโลก อันอาจส่งผลต่อการลงทุนระหว่างประเทศและการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของภูมิภาค
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ต้องดำเนินควบคู่กันทั้งในมิติความมั่นคง การทูต เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจร่วมในระดับประชาชนและเยาวชน เพื่อให้อนาคตของสองประเทศไม่ต้องผูกติดกับความขัดแย้งในอดีต หากทั้งสองประเทศสามารถหันกลับมาสร้างความไว้วางใจ และพัฒนาชายแดนให้เป็นพื้นที่แห่งสันติภาพและความร่วมมือ จะไม่เพียงแค่หลีกเลี่ยงความสูญเสีย แต่ยังเปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกันอย่างแท้จริงในภูมิภาคนี้ 












