WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันศุกร์ ที่ 5 ธันวาคม 2568 ติดต่อเรา
ส่อวิกฤต..เมื่อ ตลาดแรงงานกลุ่มสาขาวิชา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ขาดแคลนหนัก

4 กันยายน 2568  : เหลืออีกไม่กี่เดือนก็ใกล้จบปี 2568 แล้ว ช่วงที่ผ่านมีเรื่องราวเข้ามากระทบต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก ที่ให้ตั้งรับแบบรู้มาก่อนล่วงหน้าและตั้งรับแบบกระทันหัน ทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้มีความท้าทายสูง ขณะเดียวกันตลาดแรงงานในบางส่วนของไทยที่ยังต้องการเปิดรัยแรงงานเข้ารวมทัพ แต่ยังขาดแคลนในระดับสูง หากปล่อยไว้อย่างนี้ อาจจะยิ่งฉุดรั้งประเทศไทยให้ไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่

ล่าสุด ทีม Big Data สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้เปิดผลวิเคราะห์สถานะความต้องการแรงงาน และทักษะของแรงงานที่นายจ้างต้องการใน “โครงการพัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูลด้วย Large Language Models (LLMs) เพื่อการใช้ประโยชน์ในการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงฯ” ซึ่งงานวิจัยนี้มีความน่าสนใจค่อนข้างมาก โดยรายงานฉบับล่าสุดนี้ เน้นการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการแรงงานในกลุ่มสาขา STEM (กลุ่มแรงงานที่มีทักษะหรือประกอบอาชีพในสายงานที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้จบปริญญาตรีในปี 2565 เพื่อประเมินความสอดคล้องระหว่างความต้องการแรงงานของนายจ้างกับจำนวนแรงงานที่ต้องการเข้าสู่ตลาดแรงงาน

กางสถิติงาน STEM สาขาวิศวกรรมขาดตลาด แต่วิทยาศาสตร์จำนวนบัณฑิตมากกว่าตำแหน่งงาน

จากการเก็บข้อมูลประกาศรับสมัครงานออนไลน์จาก 23 เว็บไซต์หางานที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยเป็นเวลา 1 ปี (ก.ค.67-มิ.ย.68) คณะผู้วิจัยพบว่า มีประกาศรับสมัครงานในกลุ่มสาขาอาชีพ STEM 42,374 ตำแหน่ง จากประกาศรับสมัครงานทั้งหมด 756,300 ตำแหน่ง คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.6 ของตำแหน่งงานทั้งหมด โดยในจำนวนนี้เป็นตำแหน่งงานในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ 36,392 ตำแหน่ง และในสาขาวิทยาศาสตร์อีก 18,200 ตำแหน่ง

ขณะที่ผู้จบการศึกษาป.ตรีในสาขา STEM ในปี พ.ศ. 2565 มีจำนวน 76,440 คน แบ่งเป็นสาขาวิศวกรรมศาสตร์ 29,314 คน และจากสาขาวิทยาศาสตร์ 47,126 คน ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าตำแหน่งงาน STEM กว่า 2 ใน 3 ต้องการผู้จบสาขาวิศวกรรมศาสตร์ แต่ปรากฎว่าการผลิตบัณฑิตสาย STEM กว่า 62% เป็นสาขาวิทยาศาสตร์

เด็กจบใหม่-ไร้ประสบการณ์หางานตรงสายเหนื่อย จบหลักพัน เปิดรับหลักร้อย

โดยคณะผู้วิจัยฯ ยังได้จำแนกตำแหน่งงานสาขา STEM ออกเป็น 12 สาขาหลัก  เพื่อประเมินความสอดคล้องระหว่างความต้องการแรงงานกับจำนวนบัณฑิต โดยพบว่า เกือบทุกสาขาวิชามีการผลิตมากกว่าความต้องการที่จะรับผู้ที่จบการศึกษาใหม่ หรือผู้ที่ยังมีประสบการณ์ไม่มาก เช่น ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) จำนวนผู้จบใหม่ 8,246 คน ขณะที่ตำแหน่งที่เปิดรับผู้จบใหม่มี3,088 ตำแหน่ง และมีเพียง 376 ตำแหน่งเท่านั้นที่ไม่ต้องการผู้มีประสบการณ์มากก่อน

นอกจากนี้ จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า ตำแหน่งงาน STEM ส่วนใหญ่ต้องการผู้ที่มีประสบการณ์ เช่น ตำแหน่งงานสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ เปิดรับสมัคร 10,486 ตำแหน่ง แต่ในจำนวนนี้มีถึง 7,398 ตำแหน่งที่ต้องการผู้มีประสบการณ์มากกว่า 2 ปี และมีเพียง 376 ตำแหน่งที่เปิดรับผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์เลย เช่นเดียวกับสาขาวิศวกรรมเครื่องกล (Mechanical Engineering) ซึ่งมีตำแหน่งงานทั้งหมดสูงถึง 9,719 ตำแหน่ง แต่ในจำนวนนี้มีเพียง 2,751 ตำแหน่งที่เปิดรับนักศึกษาจบใหม่ และเพียง 414 ตำแหน่งเท่านั้น ที่ไม่ต้องการประสบการณ์เลย

จากข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานในสาขานี้ต้องการผู้มีประสบการณ์เฉพาะด้าน เช่น ทักษะ Mechanical Engineering, Project Management, Engineering Software, Employee Training, Drafting and Engineering Design เป็นต้น ซึ่งไม่ใช่งานที่ผู้จบใหม่จะสมัครได้ โดยไม่ผ่านการฝึกฝนหรือทำงานภาคสนามมาก่อน ทำให้เกิดปัญหาเข้าสู่ตลาดแรงงาน ขณะที่นายจ้างเองก็พบปัญหาในการค้นหาแรงงานที่คุณสมบัติตรงตามความต้องการ

“วิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์” เป็นที่ต้องการสูง แนะเร่งผลิตบัณฑิตตอบโจทย์นายจ้าง

ในทางตรงกันข้ามคณะผู้วิจัยพบว่า สาขาวิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ (Mechatronics Engineering) เป็นสาขาที่ตลาดแรงงานมีความต้องการสูง แต่จำนวนผู้จบการศึกษามีน้อย โดยมีประกาศรับสมัครงาน 2,140 ตำแหน่ง แต่มีผู้จบใหม่เพียง 328 คนเท่านั้น จึงควรมีการเพิ่มการผลิตกำลังคนในสาขานี้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งงานที่ประกาศรับสมัครอาจจะมากกว่าความต้องการจริงอยู่บ้าง เนื่องจากการประกาศรับสมัครงานมักระบุสาขาการศึกษามากกว่า 1 สาขาสำหรับตำแหน่งงานหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดการนับซ้ำขึ้นได้

สรุปได้ว่าภาพรวมตลาดแรงงานไทยต้องการแรงงาน STEM สาขาวิศวกรรมศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2 ใน 3 ของความต้องการแรงงาน STEM ทั้งหมด แต่กว่า 62% ของผู้สำเร็จการศึกษาสาย STEM เป็นสาขาวิทยาศาสตร์ และถ้าพิจารณาในเชิงปริมาณ ประเทศไทยมีการผลิตแรงงานสาขา STEM มากเพียงพอในเกือบทุกสาขาการศึกษา แต่ยังมีช่องว่างระหว่างความพร้อมของบัณฑิตกับคุณลักษณะแรงงานที่นายจ้างต้องการ โดยเฉพาะด้านประสบการณ์ทำงาน และความเชี่ยวชาญ ซึ่งส่งผลกระทบงต่อโอกาสของผู้จบใหม่

ทีมวิจัย ระบุว่า หนุนเปิดช่อง อัพสกิล-รีสกิล เพื่อเปลี่ยนสายสมัครงานที่ตลาดต้องการ แนะทบทวนกำลังคนด้าน STEM ผลิคนมากกว่าที่เปิดรับ ชี้ ปัญหาไม่ใช่ปริมาณอยู่ที่คุณภาพ โดยคณะผู้วิจัย ได้มีข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการผลิตกำลังคนกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมทั้งยกระดับขีดความสามารถของแรงงานไทยในระยะยาว ดังนี้

1. ภาครัฐและสถาบันการศึกษาอาจพิจารณาขยายช่องทางการเข้าสู่อาชีพวิศวกรให้แก่ผู้จบสาขาวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีจำนวนมากเกินความต้องการของตลาดแรงงานในบางสาขา โดยส่งเสริมการจัดทำหลักสูตรเสริมทักษะ (upskill/reskill) ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเปลี่ยนสายอาชีพอย่างตรงจุด ตัวอย่างเช่น ผู้ที่จบจากสาขาเคมีและเคมีประยุกต์ที่ต้องการเปลี่ยนสายไปยังวิศวกรรมเคมี ควรมีการเรียนวิชาเทคนิคพื้นฐานด้านวิศวกรรมเพิ่มเติม เช่น Process Engineering, Process Improvement and Optimization หรือ Manufacturing Process ซึ่งเป็นหลักสูตรระยะสั้นแต่เข้มข้น และสามารถนำไปใช้สมัครงานในสายวิศวกรรมได้จริง

ขณะเดียวกันควรมีการศึกษาเชิงลึกผ่านการสัมภาษณ์นายจ้างในภาคอุตสาหกรรม เพื่อค้นหา “ทักษะเฉพาะ” ที่จำเป็นต่อการรับผู้สมัครที่มีพื้นฐานจากสายวิทยาศาสตร์แต่ต้องการเปลี่ยนสายงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน เช่น สาขาวิทยาศาสตร์การอาหาร ซึ่งการเปลี่ยนสายจากสาขาเคมีและเคมีประยุกต์ มาสู่วิทยาศาสตร์การอาหาร จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากสามารถระบุทักษะเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ความรู้ด้าน Food Science and Processing หรือ Food and Beverage เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยในการออกแบบหลักสูตรเสริมทักษะที่ตรงความต้องการของอุตสาหกรรม และช่วยให้แรงงานสามารถเปลี่ยนสายงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. ภาครัฐควรทบทวนนโยบายการผลิตกำลังคน จากข้อมูลที่ปรากฏ พบว่าในขณะนี้ การผลิตกำลังคนด้าน STEM อาจไม่ได้ขาดแคลนมากอย่างที่มักเข้าใจกัน โดยในเกือบทุกสาขา มีการผลิตบัณฑิตจบใหม่มากกว่าตำแหน่งงานเปิดใหม่สำหรับบัณฑิตเหล่านี้ในแต่ละปี ดังนั้น ปัญหาความขาดแคลนบุคลากรด้าน STEM น่าจะมาจากคุณภาพของบัณฑิตจบใหม่มากกว่า ภาครัฐจึงควรเข้ามามีบทบาทกำกับดูแลด้านคุณภาพการจัดการศึกษามากขึ้น ทั้งในแง่การจัดการเรียนการสอน การออกแบบหลักสูตร การเน้นการฝึกงานในภาคปฏิบัติเพิ่มขึ้นและการให้การสนับสนุนทางการเงิน ทั้งการสนับสนุนทางตรง เช่นการจัดสรรงบประมาณ และทางอ้อม เช่นการให้การสนับสนุนผ่านกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นต้น

3.การเพิ่มกำลังคนสาย STEM จะไม่สามารถทำผ่านนโยบายการผลิตกำลังคนฝั่งเดียวได้ (supply side) เนื่องจากเมื่อมีการผลิตออกมาแล้ว พบว่าไม่มีตำแหน่งงานรองรับมากพอ จึงจำเป็นจะต้องมีมาตรการทางนโยบายอุตสาหกรรม (industrial policy) ไปพร้อมกันด้วย เพื่อสร้างสมดุล ผลิตกำลังคนให้ตรงความต้องการกับตลาดแรงงาน

เศรษฐกิจ ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP