28 กรกฏาคม 2560 : นายกรณ์ จาติกวณิช ประธานสมาคมฟินเทคแห่งประเทศไทย กล่าวในการสัมมนา “วางแผนทางการเงิน 4.0 ” โดยกรุงศรี ไพรม์ ว่า “ไทยแลนด์ 4.0” ในความหมายจริงๆ หมายถึงการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีมาเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า หรือธุรกิจของตนเอง ฉะนั้นการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ ยกตัวอย่างนักท่องเที่ยวประเทศจีนไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น มีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวญี่ปุ่น 20 ล้านคน มาจากจีน 5 ล้านคน คือ 1 ใน 4 แต่รายงานจากรัฐบาลญี่ปุ่นในจำนวน 5 ล้านคนที่เข้าไปเที่ยวไปจับจ่ายใช้สอยเท่ากับคน 15 ล้านคนจากทุกประเทศรวมกัน ฉะนั้นญี่ปุ่นเขามองว่าจีนเป็นนักท่องเที่ยวระดับพรีเมี่ยม
ในขณะที่ประเทศไทยมีปัญหามากมาย อาจจะไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากนักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะ ทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่มีปัญหามากมายในช่วงปีที่ผ่านมา แต่นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยจำนวนมาก ซึ่งปีที่แล้วเข้ามาถึง 30 ล้านคน ซึ่ง 1 ใน 3 เป็นคนจีน หรือ 10 ล้านคน แต่ก็มีคำถามเราได้ประโยชน์เต็มที่หรือยัง จีนมาก็ไม่ได้ซื้อของในประเทศไทย ใช้เงินก็ผ่านอาลีบาบา
ย้อนกลับไปดูญี่ปุ่น เขาบอกนักท่องเที่ยวจีน 5 ล้านคนที่มาเที่ยวใช้เงินเยอะมาก ซึ่งสินค้าชั้นนำที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อคือ 1.สินค้าประเภทอาหาร เช่น นมผง ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย 2.สินค้าประเภทอิเลกทรอนิกส์ 3.สินค้าโอท็อป สิ่งที่น่าสังเกตุ 3 อันดับแรกนี้ล้วนแต่เป็นสินค้าที่ผลิตโดยคนญี่ปุ่นทั้งสิ้น ซึ่งญี่ปุ่นมีการพัฒนาสินค้าของเขาให้เป็นที่ต้องการ หากเปลี่ยนเทียบกับประเทศไทย นักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวแล้วนิยมซื้ออะไร จะต้องมองและพิจารณา รวมถึงพัฒนาสินค้าและบริการให้มากขึ้น
นอกจากนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่ภาครัฐพยายามผลักดันให้เกิดนโยบาย 4.0 มีอยู่ 4 เรื่องคือ เรื่องแรก ความเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ก็คือการให้บริการทางการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ นั่นหมายความว่าต้นทุนถูกลง สะดวกรวดเร็วและง่ายยิ่งขึ้น ความเปลี่ยนแปลงที่ 2 วัฒนธรรมการทำธุรกิจเปลี่ยนไป
ที่เข้าสู่ยุคที่เรียกว่า “เศรษฐกิจแบ่งงปัน” เช่นมีรถยนต์ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง ช่วงไม่ใช้ก็นำเอาไปขับอูเบอร์ หรือ ผู้ประกอบการพันธุ์ใหม่นิยมเช่าพื้นที่สำนักงานเหมือนกับการเช่าชั่วคราว นั่งอยู่กับผู้ประกอบการบริษัทอื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ถือเป็นการใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่ามากขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงที่ 3 มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา และจะมีผลต่อเนื่องไปอีกเป็นสิบปี คือเรื่อง Urbanization พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป เช่นคนเอเซียเปลี่ยนจากคนอาศัยในพื้นที่ชนบท มาหางานทำในเมืองและเปลี่ยนเป็นคนที่อาศัยในเมือง เพื่อให้เงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันพฤติกรรมในฐานะผู้บริโภคก็เปลี่ยนไป ยกตัวอย่าง เมื่อ 6 ปีก่อนผมเป็นรัฐบาลยุคนั้นพยายามจะชักชวนให้นักท่องเที่ยวประเทศจีนเข้ามาเที่ยวไทยประมาณ 1 ล้านคน ก็ทำได้เพียง 8 แสนคน
หากบอกวันนั้นว่าจะมีนักท่องเที่ยวมาบ้านเรานับ 10 ล้านคนก็คงไม่เชื่อ สาเหตุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะ ความเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมประเทศจีน ที่มีชนชั้นกลางเพิ่มมากขึ้น พฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไปเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น ซื้อความสุขให้กับตัวเองมากขึ้น รวมถึงการออกท่องเที่ยว เป็นสาเหตุที่ประเทศจีนไปท่องเที่ยวทั่วโลกประมาณ 120-130 ล้านคน
นอจากนี้ มีการประมาณการณ์ไว้ว่าประชากรจีนที่มีประมาณ 1,200 ล้านคน ที่มีหนังสือเดินทางสามารถออกไปเที่ยวต่างประเทศได้ มีเพียง 5% อนาคตถ้าคนจีนมีเงินมากขึ้น โอกาสที่จะเห็นนักท่องเที่ยวจีนออกเที่ยวทั่วโลกก็มากขึ้น ซึ่งอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นอาหาร ก็สามารถรับอานิสงค์จากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ได้อย่างแน่นอนเพียงแต่ว่าจะกำหนดยุทธศาสตร์อย่างไร
หนี่งในสาเหตุที่บ้านเรามีนักท่องเที่ยว 30 ล้านคน ขณะที่ฝรั่งเศสมีนักท่องเที่ยวมากสุดกว่า 80 ล้านคน ความแตกต่างของทั้งสองประเทศคืออะไร ขณะที่ขนาดของประเทศเกือบเท่ากัน ซึ่งสรุปคือ ประเทศเพื่อนบ้านของฝรั่งเศส ล้วนเป็นประเทศร่ำรวย ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยเกือบทุกประเทศเป็นประเทศยากจน แต่นี้คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็น พม่า เวียดนาม กัมพูชา ลาว หรือมาเลเซีย เป็นกลุ่มประเทศที่จะมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 10 ปี อีกไม่นานประเทศเพื่อนบ้านของไทยก็จะไม่จนกว่าประเทศเพื่อนบ้านฝรั่งเศสเท่าไหร่ แต่ความต่างคือประชากรในแถบนี้มากกว่าประชากรทางยุโรปหลายเท่า
ความเปลี่ยนแปลงที่ 4 นับเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายและมีแนวโน้มทางลบ คือ สังคมผู้สูงอายุ ประเทศเพื่อนบ้าน 8:1 มีผู้สูงอายุ 8 คน ต่อคนทำงาน 1 คน แต่ประเทศไทย มีสัดส่วนคนทำงาน 4:1 และปีนี้เป็นปีแรกที่จำนวนคนไทยที่อยู่ในวัยทำงานลดลง และจะลดลงต่อเนื่อง ซึ่งมีการพยากรณ์ไว้ในสถิติว่า ภายใน 25 ปี สัดส่วนคนไทยที่อยู่ในวัยทำงานเทียบกับคนที่อยู่ในวัยเกษียณ จะลดลงเหลือเพียงแค่ 2:1 เมื่อเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นเมื่อเขาเข้าสู่วัยเกษียณเขารวยแล้ว วันนี้คนไทยอยู่วัยทำงาน 35 ล้านคน มีหลักประกันชีวิตวัยชรา บำเหน็จบำนาญ เป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคมเพียง 12 ล้านคน อีกกว่า 20 ล้านคน ประกอบอาชีพอิสระ เป็นเกษตรกร พ่อค้าแม่ค้า ไม่มีหลักประกันเหล่านี้เลย ซึงเป็นกลุ่มคนที่ยากจน
วันนี้เราอาจจะรู้สึกว่าคนไทยทำงานเยอะ ลูกหลานก็ช่วยเลี้ยงดูพ่อแม่ปูย่า ยังมีคนจ่ายภาษีให้กับรัฐเยอะและมีเงินพอที่จะดูแลผู้สูงอายุได้ แต่ในอนาคต คนวัยชราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนที่อยู่ในวัยทำงานจ่ายภาษีน้อยลง ขณะที่ภาระของรัฐเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และคนแก่ไม่สามารถพึ่งพาสถาบันครอบครัวได้เหมือนกับอดีต จะมีผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจไทย นี่คือโจทย์คำถามที่มีการเปลี่ยนแปลงและปฏิเสธไม่ได้ นี่คือทั้ง 4 ปัจจัยที่ภาครัฐพยามผลักดันเศรษฐกิจ 4.0 เป็นการนำนวัตกรรมเข้ามาปรับเปลี่ยนการดำเนินงาน และยกระดับสินค้าบริการได้อย่างไร
ยกตัวอย่างข้าวภาคอีสาน โดยเข้าไปช่วยยกระดับเป็นข้าวพรีเมี่ยม ปลูกข้าวเป็นแบบแนวอินทรีย์ ตั้งชื่อ “อิ่ม”ข้าวปลอดสาร วันนี้ชาวบ้านสีข้าวเอง โดยรวมสามารถขายข้าวได้เกวียนละ 23,000 บาท จากข้าวทั่วไปเกวียนละ 8,000 บาท เป็นต้น