20 ตุลาคม 2564 : ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย เปิดเผยว่า จากกรณีที่บริษัทฯ เข้ารับโอนความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 ของลูกค้าเอเชียประกันภัยที่ยังมีความคุ้มครองอยู่ประมาณ 7.7 แสนกรมธรรม์ จากจำนวนกรมธรรม์ฺทั้งหมด 2.5 ล้านกรมธรรม์ (รวมประกันภัยทุกแบบ)
ต่อเรื่องดังกล่าว ทางด้านลูกค้าและผู้ถือหุ้นต่างมีความวิตกกังวลว่า จะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของบริษัทฯ ตนจึงขอยืนยันว่ากรมธรรม์ที่เปลี่ยนหรือย้ายจากบมจ.เอเชียประกันภัยนั้น เป็นกรมธรรม์ที่มีเงื่อนไขความคุ้มครองแตกต่างกัน โดยของเอเชียประกันภัยเป็นประกันแบบ เจอ จ่าย จบ แต่ถ้าหากลูกค้าเอเชียประกันภัยจะย้ายมาทำประกันกับบริษัท ก็จะต้องได้รับความคุ้มครองแบบเดียวกับที่บริษัทฯ ขายในปัจจุบัน 2 แบบ ได้แก่

แบบเบี้ยประกัน 300 บาท คุ้มครอง 300,000 บาท และแบบเบี้ยประกัน 480 บาท ให้ความคุ้มครอง 500,000 บาท ซึ่งให้ความคุ้มครองเฉพาะกรณีติดเชื้อ ป่วยหนักเข้าสู้ภาวะโคม่า เพราะฉะนั้นการแปลงกรมธรรม์นี้ไม่ได้เป็นการเพิ่มภาระให้กับบริษัทฯ นอกจากนี้ ทิพยประกันภัย ยังมีการทำประกันภัยต่อต่างประเทศ ในส่วนของประกันภัยโควิดไว้ด้วย คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50%
"การที่บริษัทฯ รับโอนกรมธรรม์จากเอเชียประกันภัยมา ไม่ได้เป็นการเพิ่มความเสี่ยงของทิพยประกันภัย เพราะว่าการที่เรารับประกันภัยโควิด ที่เป็นโคม่า นักคณิตศาสตร์ประกันภัยของบริษัทฯ ได้มีการคำนวณและศึกษาถึงสถานะการแพร่ระบาดที่เป็นอยู่ในประเทศไทยนั้นอย่างละเอียดรอบคอบแล้วจึงสามารถรับเสี่ยงภัยได้ และจะไม่มีผลกระทบต่อฐานะการเงินของทิพยประกันภัยแต่อย่างใด แต่ในทางตรงกันข้ามเป็นการแสดงให้เห็นว่า เราพร้อมที่จะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการลดทอน และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนของผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัย"
ดร.สมพร กล่าวอีกว่า ปัจจุบันทิพยประกันภัยรับประกันโควิดไว้ทั้งหมดประมาณ 5 ล้านกรมธรรม์ คิดเป็นเบี้ยประกันกว่า 2,500 ล้านบาท โดยมีผู้ใช้สิทธิเรียกร้องสินไหมโควิดแล้ว 50,000 ราย คิดเป็นสินไหมประมาณ 2,000 ล้านบาท หากลูกค้าเอเชียประกันภัยย้ายมาอยู่ที่ทิพยประกันภัย ก็ยังยืนยันว่าบริษัทฯ สามารถรองรับได้ ภายใต้เงื่อนไขและความคุ้มครองที่เราให้บริการอยู่ข้างต้น ฉะนั้นคาดว่าในปีนี้เบี้ยประกันภัยโควิดคงประมาณ 2,500 ล้านบาท หรือไม่เกิน 3,000 ล้านบาท
ในขณะเดียวกัน ช่วงโควิดสินไหมทดแทนด้านประกันภัยประเภทอื่นๆ เช่น ประกันภัยรถยนต์ก็มีการลดลงมาประมาณ 3% เท่ากับว่าในช่วงนี้มีเฉพาะสินไหมทางด้านประกันภัยโควิดเท่านั้นที่สูง ฉะนั้นตัวเลขสามารถนำมาถัวเฉลี่ยกันได้
โดยทิพยประกันภัย ไม่มีการขายประกันเจอจ่ายจบ จึงทำให้เราสามารถยังให้ความคุ้มครองรองรับลูกค้าเราได้อย่างไม่มีปัญหา และอยากให้ผู้ถือหุ้นทิพยประกันภัยและลูกค้าของเราสบายใจได้ว่า บริษัทฯมีความมั่นคงแข็งแกร่ง ซึ่งปัจจุบัน บริษัทฯ มีความเพียงพอของเงินกองทุน Capital Adequacy Ratio (CAR Ratio) อยู่ที่ 263% เกินกว่าที่คปภ. กำหนด ถึงแม้ว่าลูกค้าเอเชียประกันภัยย้ายมาประกันโควิด และเกิดอาการโคม่า หรือเสียชีวิต ทิพยประกันภัยก็ยังสามารถรองรับได้
"อย่างไรก็ตาม ถ้าสถานการณ์โควิดเกิดมีรอบ 3 เกิดขึ้นมาคิดว่าคงจะไม่รุนแรงมากเท่ากับรอบ 2 เพราะประชาชนจำนวนมากในประเทศได้รับวัคซีนแล้ว และหลายคนก็ได้รับเข็มที่ 2 แล้ว รวมถึงจำนวนไม่น้อยที่ทยอยได้รับเข็มที่ 3 แล้ว ฉะนั้นกรมธรรม์ของทิพยประกันภัยไม่มีประเภท เจอ จ่าย จบ แต่จะให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล โคม่า หรือกรณีที่เข้าไปรักษาพยาบาลของภาครัฐก็มาเรียกเป็นเงินชดเชยได้ ซึ่งเป็นกรณีเช่นนี้ก็ไม่ได้เป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเดิม และโดยเฉพาะคนที่ได้รับวัคซีนแล้ว
ถ้าเป็นการป่วยติดเชื้อก็จะมีอาการที่ไม่รุนแรง และหากมีการเปิดประเทศและมีการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบันอีกก็ยังอยู่ในภาวะที่สามารถรองรับได้ เพราะว่ามีการติดเชื้อไม่รุนแรงเหมือนกับระรอกสองที่ยังฉีดวัคซีนไม่ทั่วถึง รวมถึงภาครัฐมีประสบการ์ณเรื่องนี้ดังนั้นจะต้องมีการวางแผนเพื่อระมัดระวังที่รอบคอบมากยิ่งขึ้น ไม่น่าจะทำให้เกิดการติดเชื้อที่แพร่ระบาดมากจนเกินไป"
ดร.สมพร กล่าวต่อไปถึงการดำเนินงานจากนี้หลังจากนำบริษัทฯ เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ว่า ขณะนี้ทิพยโฮลดิิ้งถือหุ้นในทิพยประกันภัย 99.09% และปีนี้ตั้งเป้าไว้ว่าจะ เข้าไปถือหุ้นในบริษัทลูกอีก 3 บริษัท กลุ่มบริษัทแรกเป็นช่องทางของบริษัทนายหน้าประกันภัย กลุ่มสองเป็นบริษัทที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการสินไหมทดแทน และกลุ่มที่สาม เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลากร เหตุผลเพราะต้องการที่จะสร้างพื้นฐานให้มีการเติบโตในอนาคต โดยคาดว่าจะกระบวนการควบรวมจะแล้วเสร็จภายในปีนี้
เนื่องจากในปี 2565 มีเป้าหมายจะขยายธุรกิจไปยังบริษัทประกันภัย และจะมีการจัดตั้งบริษัททิพยดิจิทัลขึ้นมา เพราะในประเทศไทยยังไม่มีบริษัทประกันภัยใดที่เป็นเพียวดิจิทัล นั่นหมายความว่า บริษัทดังกล่าวจะมีรูปแบบของการซื้อ ขาย เคลม เป็นรูปแบบดิจิทัล 100% เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่
โดยอาจจะไปร่วมทุนกับบริษัทที่มีใบอนุญาตอยู่แล้ว คาดว่าจะเริ่มดำเนินการควบรวมแล้วเสร็จในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ซึ่งผลดีคือต้นทุนการบริหารลดลง นั่นหมายถึงเบี้ยประกันภัยก็ราคาถูกลงด้วยเช่นกัน เช่น กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ บ้านอยู่อาศัย ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันภัยสุขภาพ และประกันภัยการท่องเที่ยว![]()












