28 ตุลาคม 2568 : ในยุคที่การพัฒนาเศรษฐกิจต้องดำเนินควบคู่ไปกับความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและสังคม “ตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน” หรือ Sustainability-Linked Bond (SLB) ได้กลายเป็นเครื่องมือทางการเงินสำคัญที่ภาครัฐและเอกชนทั่วโลกให้ความสนใจ รวมถึงประเทศไทยที่เริ่มผลักดันการออกตราสารประเภทนี้มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านการระดมทุนและการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ตราสารหนี้ลักษณะนี้มีจุดเด่น คือ การเชื่อมโยงผลตอบแทนของนักลงทุนเข้ากับการบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม หรือการบริหารจัดการที่ยั่งยืนของผู้ออกตราสาร
ขณะเดียวกัน การส่งเสริมให้ภาคธุรกิจไทยออก SLB ไม่เพียงช่วยเพิ่มช่องทางระดมทุนที่มีความยืดหยุ่น แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนปรับตัวเข้าสู่การดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น เมื่อบริษัทต่างๆ มีการกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ผลลัพธ์ที่ตามมาคือการยกระดับภาพลักษณ์องค์กรและเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ในมุมของการลงทุน ตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืนของไทยช่วยขยายฐานนักลงทุนคุณภาพ โดยเฉพาะกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Investment) ทำให้ตลาดทุนไทยมีศักยภาพแข่งขันในระดับสากลมากขึ้น อีกทั้งยังสร้างวงจรเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวม เพราะเมื่อธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ย่อมส่งผลดีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศในระยะยาว

สอดคล้องกับแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ธิดาศิริ ศรีสมิต CFA, Chief Investment Officer บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (KAsset) ที่ออกมาย้ำว่า เรื่องความยั่งยืน หรือ Sustainability ไม่ใช่เพียงแค่กระแสหรือหนึ่งในธีมการลงทุนอีกต่อไป แต่จะเป็น Minimum Requirement จากหน่วยงานกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสะท้อนความสามารถในการแข่งขัน และความมั่นคงของผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัท
ในฐานะบริษัทจัดการลงทุน (บลจ.) ความท้าทาย คือการสร้างสมดุลระหว่าง ผลตอบแทนทางการเงินในระยะสั้น (Financial Return) ซึ่งเป็นความคาดหวังของผู้ลงทุน และผลลัพธ์ในมิติความยั่งยืน (Sustainability Outcome) ซึ่งอาจต้องใช้เวลายาวกว่า
ขณะเดียวกัน ทางบลจ.กสิกรไทยได้รวบรวมข้อมูลการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) พบว่าความสนใจของนักลงทุนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐฯ จากรายงานปี 2025 ของ Morgan Stanley’s Institute for Sustainable Investing ซึ่งสำรวจผู้มีบัญชีเกษียณแบบ 401(k) จำนวน 195 คน พบว่า 76% สนใจและนำกลยุทธ์การลงทุนยั่งยืนมาปรับใช้แล้ว แต่มีเพียง 36% เท่านั้นที่นายจ้างจัดให้เป็นทางเลือกในแผนเกษียณพนักงาน
อย่างไรก็ตาม ฝั่งบริษัทหรือ US Corporate ที่เข้าร่วมการสำรวจ 99 ราย กลับมองว่าพนักงานมีความสนใจเพียงระดับ “ต่ำถึงปานกลาง” ถึง 62% ซึ่งสะท้อนความไม่สอดคล้องกันระหว่างความต้องการของพนักงานกับการรับรู้ของบริษัทที่จัดแผนเกษียณ
ขณะที่ ทาง Morningstar ชี้ให้เห็นว่าช่องว่างดังกล่าวเกิดจากข้อจำกัดด้านเครื่องมือและทรัพยากร โดย Samantha Lamas นักวิจัยพฤติกรรม อธิบายว่า แม้พนักงานจำนวนมากตั้งใจลงทุนแบบยั่งยืน แต่กลับไม่สามารถทำจริงได้ เนื่องจากขาดความรู้ ตัวเลือกที่ชัดเจน หรือระบบสนับสนุน หากมีเครื่องมือดิจิทัลที่ใช้งานง่าย เช่น การปรับแผนเกษียณด้วยคลิกเดียว ก็จะช่วยให้ความตั้งใจแปรเปลี่ยนเป็นการลงทุนจริงได้มากขึ้น
อีกประเด็นสำคัญคือข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ รายงานของ Morgan Stanley ระบุว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ กำลังพิจารณาปรับกฎเพื่อเปิดทางให้ผู้จัดการสินทรัพย์สามารถนำปัจจัย ESG มาประกอบการตัดสินใจลงทุนในแผนเกษียณ หากตัวเลือกมีผลตอบแทนทางการเงินเทียบเท่ากัน แต่ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังถูกตั้งข้อกังวลว่า อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านกฎหมายแก่ผู้จัดตั้งแผนและผู้ดูแลผลประโยชน์
ทั้งนี้ แม้กระแสการลงทุนยั่งยืนในสหรัฐฯ จะเริ่มชะลอตัว แต่แนวโน้มทั่วโลกกลับขยายตัวต่อเนื่อง โดยนักลงทุนให้ความสำคัญกับ ESG ในฐานะกลยุทธ์หลักที่จะช่วยสร้างเสถียรภาพการลงทุนและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ อาทิ ตราสารหนี้สีเขียวและโครงการพลังงานสะอาด
ด้าน นางสาวจุฬวดี วรศักดิ์โยธิน ผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมความยั่งยืน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ในมุมมองของหน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความยั่งยืน (Disclosure) ไม่ใช่เพียงแค่มีข้อมูลเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในตลาดทุน ดังนั้นจึงต้องมีการทำงานอย่างเข้มข้นในหลายด้านและดำเนินการอย่างครบวงจร (Holistic) เพื่อให้ข้อมูลที่ออกมามีคุณภาพ
ขณะที่ในความเป็นจริง เมื่อข้อกำหนดขั้นต่ำ (Minimum requirement) มีการปรับเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น ก็ย่อมมีความท้าทายเกิดขึ้นในการพัฒนาศักยภาพ (Capacity building) และการจัดหาเครื่องมือสนับสนุนเพิ่มเติมแก่บริษัทต่างๆ สำหรับการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับความยั่งยืน
ล่าสุด บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุว่า ไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่นำตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond: SLB) จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลักเซมเบิร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเงินที่ยั่งยืน และมีมาตรฐานด้านความยั่งยืนที่เข้มงวดที่สุดในโลก
การยกระดับมาตรฐานตราสารหนี้ยั่งยืนของไทยครั้งนี้จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือและเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับโครงการด้านความยั่งยืนในต่างประเทศ เนื่องจาก 1.ตลาดหลักทรัพย์ลักเซมเบิร์กใหญ่เป็นอันดับที่ 9 ของตลาดหลักทรัพย์ยั่งยืนโลก และ 2. กลุ่มประเทศ EM นิยมจดทะเบียนตราสารหนี้ยั่งยืนในตลาดหลักทรัพย์ระดับโลกเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและยกระดับมาตรฐานด้านความยั่งยืน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ต้นทุนการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ยั่งยืนต่ำกว่าตราสารหนี้ทั่วไป (Greenium) ไม่มากนัก แต่ไทยจะได้รับความน่าเชื่อถือด้านความยั่งยืนจากนักลงทุนเพิ่มขึ้น 












