
13 ธันวาคม 2568 : ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทย จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง “กรอบระยะเวลาการจัดซ่อมรถยนต์ระหว่างบริษัทประกันวินาศภัย เพื่อการชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ” โดยมีบริษัทประกันวินาศภัยเข้าร่วมลงนามจำนวน 32 บริษัท เพื่อให้การชดเชยค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถมีแนวทางที่ชัดเจน เที่ยงตรง ช่วยลดการร้องเรียน เสริมประสิทธิภาพการจ่ายค่าสินไหมทดแทน และสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนผู้ใช้รถทั่วประเทศ
การจัดทำกรอบระยะเวลาการจัดซ่อมรถยนต์ให้เป็น “เกณฑ์กลาง” ที่สามารถนำไปใช้ได้ในทุกบริษัทประกันวินาศภัย เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้านค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถให้มีความชัดเจนและเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งอุตสาหกรรม โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมต่อผู้เอาประกันภัย และสะท้อนความเป็นจริงของกระบวนการซ่อมรถยนต์ในปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยลดข้อพิพาทและลดจำนวนเรื่องร้องเรียนด้านค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้ ดังนั้น การกำหนดเกณฑ์เหล่านี้จะช่วยให้บริษัทประกันภัยสามารถประเมินจำนวนวันที่เหมาะสมได้อย่างเป็นระบบ และช่วยให้ผู้เอาประกันภัยได้รับการชดเชยที่สะท้อนงานซ่อมจริง ลดข้อโต้แย้งและเพิ่มความพึงพอใจต่อการให้บริการได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับเกณฑ์การจัดซ่อมรถยนต์ที่สมาคมฯ จัดทำขึ้น มีหลักการสำคัญคือ การประเมินเวลาอย่างเป็นธรรม สะท้อนงานซ่อมที่แท้จริง และยึดข้อมูลเชิงเทคนิคของอู่ซ่อมรถมาตรฐานทั่วประเทศ โดยพิจารณาจาก 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ พิจารณาตามลักษณะงานซ่อม จำนวนชิ้นงาน และจำนวนวันซ่อมตามจริง ซึ่งการกำหนดกรอบระยะเวลาในการจัดซ่อมนี้ เพื่อช่วยให้บริษัทประกันภัยมีแนวทางที่ชัดเจน เที่ยงตรง และสะท้อนสภาพการซ่อมจริงมากที่สุด ในการพิจารณาการชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถได้อย่างเป็นธรรม
ต่อเรื่องดังกล่าว นายเสรี กวินรัชตโรจน์ เป็นประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า การซ่อมรถยนต์ของศูนย์ซ่อม หรืออู่ซ่อมรถยนต์นั้น ในอดีตแต่ละบริษัทประกันภัยมีการกำหนดกรอบการใช้ระยะเวลาการซ่อมสูงสุดแตกต่างกัน ยกตัวอย่าง ก่อนหน้านี้การซ่อมสีตัวถังรถที่เสียหาย 1-3 ชิ้น บางบริษัทกำหนดการซ่อมไว้ 3 วันจึงจะแล้วเสร็จ บางบริษัทกำหนดไว้ 5 วัน ดังนั้น จึงเกิดการร้องเรียนเรื่องการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์อย่างต่อเนื่อง จนมีการไปร้องเรียนยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกัน (คปภ.)

ดังนั้น ทางสมาคมประกันวินาศภัยไทย สำนักงานคปภ. และบริษัทสมาชิกประกันภัย จึงนำโจทย์เรื่องนี้มาหารือร่วมกันเพื่อให้บริษัทประกันภัยมีกรอบในการซ่อมและทั้ง 32 บริษัท สามารถตกลงร่วมกันได้ จึงมีข้อตกลงในการเซ็นความร่วมมือในครั้งนี้ (MOU) ยกตัวอย่างการซ่อมรถยนต์ที่มีความเสียหาย 1-3 ชิ้น ควรมีระยะเวลาซ่อมสูงสุดไม่เกิน 5 วัน และความเสียหายหนักมากกว่านั้นจะมีการพิจารณาเพื่อให้ใช้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไปในอนาคต ซึ่งกรอบการซ่อมดังกล่าวใช้กับรถยนต์ทุกประเภท ทั้งรถยนต์สันดาป และรถไฟฟ้า (EV)
สำหรับจำนวนเงินค่าขาดประโยชน์ก็ยังยึดกับกรอบเดิมที่ทางคปภ.ทำไว้ โดยค่าขาดประโยชน์แบ่งเป็น 3 กรณี ดังนี้ 1.รถยนต์ส่วนบุคคลค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ 500 บาท/วัน รถรับจ้าง 700 บาท และรถบรรทุกขนาดใหญ่ 1,000 บาท/วัน ส่วนกรณีการซ่อมหนักเกินกว่า 7 วัน วันนี้ยังไม่ได้มีกรอบการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ แต่จะพิจารณากันในภายหลังจากนี้
"ก่อนที่จะตกลงการเซ็น MOU ครั้งนี้ทางสมาคมฯ ได้ประชุมร่วมกับบริษัทสมาชิกทุกแห่งถึงระยะเวลาในการซ่อมในกรอบ 3-5 วัน สำหรับรถยนต์ที่มีความเสียหายไม่มาก และหลายบริษัทต่างก็ให้การตอบรับว่าสามารถซ่อมได้จริง ดังนั้นมองว่าในภาพรวมรถยนต์ส่วนใหญ่จะมีความเสียหายไม่มากหรือซ่อมเบา สมาคมฯจึงมีการกำหนดกรอบสำหรับรถยนต์ที่เสียหายส่วนใหญ่ก่อน เพื่อการบริการที่รวดเร็ว และยุติธรรมต่อผู้ใช้รถทุกคน แต่สำหรับกรณีรถยนต์ที่เสียหายหนัก และซ่อมระยะยาวเป็นเดือนนั้น อาจจะมีข้อกำหนดกรอบออกตามมาภายหลังในเร็วๆ นี้" นายเสรี กล่าว

ทั้งนี้ การจัดทำ “กรอบระยะเวลาการจัดซ่อมรถยนต์ระหว่างบริษัทประกันวินาศภัย เพื่อการชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ” ของสมาคมฯ คณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ ได้มีการประชุมหารือร่วมกับบริษัทสมาชิกที่ประกอบธุรกิจประกันภัยรถยนต์อย่างต่อเนื่อง และแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านงานซ่อมจริงของอู่ทั่วประเทศ พร้อมรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากทุกบริษัท เพื่อให้เกณฑ์เวลาที่กำหนดสามารถสะท้อนสภาพปัญหาและข้อเท็จจริงได้ครบถ้วนที่สุด โดยมีบริษัทประกันวินาศภัยที่รับประกันภัยรถยนต์ เข้าร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงฯ จำนวน 32 บริษัท ได้แก่
1. บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)
2. บริษัท กรุงไทยพานิชประกันภัย จำกัด (มหาชน)
3. บริษัท คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
4. บริษัท จรัญประกันภัย จำกัด (มหาชน)
5. บริษัท เจมาร์ท ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
6. บริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน)
7. บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
8. บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
9. บริษัท ทูนประกันภัย จำกัด (มหาชน)
10. บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน)
11. บริษัท ไทยพัฒนาประกันภัย จำกัด (มหาชน)
12. บริษัท ไทยไพบูลย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
13. บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน)
14. บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน)
15. บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน)
16. บริษัท นิวอินเดีย แอสชัวรันซ์ จำกัด (สาขาประเทศไทย)
17. บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน)
18. บริษัท ฟอลคอนประกันภัย จำกัด (มหาชน)
19. บริษัท มิตซุย สุมิโตโม อินชัวรันซ์ จำกัด สาขาประเทศไทย
20. บริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
21. บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)
22. บริษัท รู้ใจประกันภัย จำกัด (มหาชน)
23. บริษัท สตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อินชัวรันซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
24. บริษัท สหมงคลประกันภัย จำกัด (มหาชน)
25. บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
26. บริษัท อินชัวร์เวิร์ส จำกัด (มหาชน)
27. บริษัท เออร์โกประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
28. บริษัท เอไอจีประกันภัย จำกัด (มหาชน)
29. บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน)
30. บริษัท แอลเอ็มจีประกันภัย จำกัด (มหาชน)
31. บริษัท ไอแคร์ ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
32. บริษัท ไอโออิ กรุงเทพ ประกันภัย จำกัด (มหาชน)

การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ไม่เป็นเพียงการกำหนดมาตรฐานร่วมกันของอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยแต่ยังเป็น “ก้าวสำคัญสู่ระบบการซ่อมรถยนต์ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นธรรมต่อประชาชน” ซึ่งจะช่วยลดข้อพิพาท ลดเวลาในการพิจารณาค่าสินไหมทดแทน และทำให้ผู้เอาประกันภัยได้รับความคุ้มครองและความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง ถือเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่ช่วยยกระดับความแข็งแกร่งและความน่าเชื่อถือของอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยไทยในระยะยาว นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวทิ้งท้าย 












